รวมไฟล์ที่ใช้เรียนวิชา Macroeconomics
สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน
คราวนี้ผมรวบรวมเอาไฟล์ที่เราใช้เรียนกันในวิชา Macroeconomics ถึงปัจจุบัน มารวมไว้ที่นี่ เพื่อความสะดวกในการนำไปใช้สำหรับพี่น้องทุกท่านนะครับ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ักับทุกคนนะครับ แต่ยังไงก็อย่าลืมเข้าไปในระบบ E-Learning ของมหา'ลัย ด้วยนะครับ เพราะไฟล์อื่นๆที่เกี่ยวข้องผมไม่ได้นำมารวมไว้ในที่นี้ เนื่องจากพวกเราไม่ได้ใช้เรียน แต่ผมคิดว่ามันก็สำคัญไม่แพ้กันเลยคับ
ไฟล์ที่ใช้เรียนวิชา Macroeconomics ถึงปัจจุบัน
0. Course Syllabus
1. Introduction
1.1 Ch 1: The Science of Macroeconomics
2. Ch 2: The Data of Macroeconomics
3. Ch 3: National Income
4. Ch 4: Money and Inflation
PPT พรีเซนเตชั่น
5. Ch 5: The Open Economy
PPT พรีเซนเตชั่น
6. Ch 6: Unemployment
7. Ch 7: Economic Growth I
8. Ch 8: Economic Growth II
9. Ch 9: Introduction to Economic Fluctuations
10. Ch 10: Aggregate Demand I: AD-AS Model
11. Ch 11: Aggregate Demand II: IS-LM Model
12. Ch 12: Aggregate Demand in the Open Economy
13. Ch 13: Aggregate Supply
14. Ch 14: Stabilization Policy
15. Ch 15: Government Debt
ที่มา : ระบบ E-Learning ดร.สุรชัย จันทร์จรัส
วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552
รับสมัครด่วนนนน!! นักกายภาพบำบัด
รับสมัครด่วนนนน!! นักกายภาพบำบัด
ด่วนนนนที่สุด!! โรงพยาบาลสมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์
ต้องการรับสมัครด่วน ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนักกายภาพบำบัด
อัตราเงินเดือน 10,030 บาท
เงินค่าวิชาชีพ 1,000 ต่อเดือน มีสวัสดิการให้
เบอร์ติดต่อ 043-861-140 ต่อ 312 ต่อแผนก กายภาพบำบัด
ด่วนนนน!!!! ที่สุดคร้าาาาบบบ
ด่วนนนนที่สุด!! โรงพยาบาลสมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์
ต้องการรับสมัครด่วน ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนักกายภาพบำบัด
อัตราเงินเดือน 10,030 บาท
เงินค่าวิชาชีพ 1,000 ต่อเดือน มีสวัสดิการให้
เบอร์ติดต่อ 043-861-140 ต่อ 312 ต่อแผนก กายภาพบำบัด
ด่วนนนน!!!! ที่สุดคร้าาาาบบบ
วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552
สิบอันดับเวปไซต์ยอดนิยมของไทย
สิบอันดับเวปไซต์ยอดนิยมของไทย
เชื่อว่าในยุคนี้แทบไม่้มีใครไม่รู้จักอินเตอร์เน็ต เนื่องจากว่า เป็นแหลางความรู้ ความบันเทิง และการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ทั่วทุกมุมโลกได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แทบจะเรียกได้ว่าอะไรที่เราไม่รู้ พอเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตมีครบหมด รู้ทันที งั้นคราวนี้เรามาดูกันนะครับว่า ผลการจัดอันดับสิบอันดับเวปไซต์ยอดนิยมของไทยโดยThailand Web Statistic ที่มีผู้นิยมเข้าไปชมมากที่สุด มีเวปไหนกันบ้าง
TOP 10 WEBSITES
Website IP/day
1. www.sanook.com 548,692
2. www.kapook.com 366,178
3. www.mthai.com 279,389
4. www.dek-d.com 235,907
5. www.exteen.com 212,779
6. www.manager.co.th 194,137
7. www.bloggang.com 189,410
8. teenee.com 186,460
9. www.gg.in.th 135,870
10. www.playpark.com 133,998
ที่มา : truehits.net
เชื่อว่าในยุคนี้แทบไม่้มีใครไม่รู้จักอินเตอร์เน็ต เนื่องจากว่า เป็นแหลางความรู้ ความบันเทิง และการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ทั่วทุกมุมโลกได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แทบจะเรียกได้ว่าอะไรที่เราไม่รู้ พอเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตมีครบหมด รู้ทันที งั้นคราวนี้เรามาดูกันนะครับว่า ผลการจัดอันดับสิบอันดับเวปไซต์ยอดนิยมของไทยโดยThailand Web Statistic ที่มีผู้นิยมเข้าไปชมมากที่สุด มีเวปไหนกันบ้าง
TOP 10 WEBSITES
Website IP/day
1. www.sanook.com 548,692
2. www.kapook.com 366,178
3. www.mthai.com 279,389
4. www.dek-d.com 235,907
5. www.exteen.com 212,779
6. www.manager.co.th 194,137
7. www.bloggang.com 189,410
8. teenee.com 186,460
9. www.gg.in.th 135,870
10. www.playpark.com 133,998
ที่มา : truehits.net
ทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล"โอบามาร์ค"กันหน่อย
ทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล"โอบามาร์ค"กันหน่อย
ช่วงนี้หลายท่านคงจะติดตามข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศราฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มี "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวที่กำลังเป็นที่วิจารย์กันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกันตน และข้าราชการที่มีรายได้ประจำต่ำกว่า 14,999 บาทต่อเดือน ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 2,000 บาทครั้งเดียว ว่าจะสามารถช่่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าเป็นไปตามสมการในทางเศรษฐศาสตร์แล้วที่บอกว่า GDPหรือY = C+I+G (สมมุติว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบปิดเพราะว่าเราจะดูผลระยะสั้นจากมาตรการดังกล่าว)ก็ต้องบอกว่าน่าจะช่วยได้เนื่องจากเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ(ตัว G) เพื่อหวังผลต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายของภาคประชาชน(ตัว C) และเมื่อมีการใช้จ่ายของประชาชนมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ก็ย่อมต้องเป็นการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP/Y)ได้ เนื่องจากซึ่งเป็นไปตามกฎของ "Golden Rule" แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากต้องดูความสามารถในกาใช้จ่ายทั้งของรับาลเองและของประชาชนด้วย
จากแผนบริหารราชการแผ่นดินระยะเวลา 3 ปี (ปี"52-"54) ที่ครม.เห็นชอบแล้ว ประมาณความต้องการใช้เงินตามนโยบายของรัฐบาลรวม 3 ปี มีวงเงินทั้งสิ้น 7.44 ล้านล้านบาท แต่มีรายได้รัฐบาล 3 ปีเพียง 5.24 ล้านล้านบาท
ทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณรวม 3 ปีเป็นเงิน 2.2 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ทีนี้เราลองมาทบทวนโครงการต่างๆของรัฐบาลกันอีกครั้งนะครับว่ามีอะไรบ้าง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ สำหรับงบประมาณกลางปี 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งจะนำเข้ารัฐสภาวันที่ 28 ม.ค. มีดังนี้
1.โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยจัดสรรเงินให้ผู้ประกันตน และข้าราชการที่มีรายได้ประจำต่ำกว่า 14,999 บาทต่อเดือน ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 2,000 บาทครั้งเดียว โอนเงินเข้าบัญชีให้ประมาณเดือนเม.ย.
2.โครงการช่วยเหลือคนตกงาน จัดอบรมผู้ว่างงานเพื่อเพิ่มศักยภาพ 6 เดือน ขณะอบรมได้เงินช่วยเหลือยังชีพเดือนละ 5,000 บาท วงเงิน 6,900 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ว่างงาน 240,000 คน ก่อนขยายเพิ่มในงบประมาณปี"53 ให้ครบ 500,000 คน
3.โครงการเรียนฟรีจริง 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลถึงม.6 ฟรีค่าเทอม เสื้อผ้า ตำราเรียน และอุปกรณ์การศึกษา งบประมาณ 19,000 ล้านบาท
4.โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน สานต่อกองทุนเอสเอ็มแอล เพื่อสร้างงานและวางรากฐานในชนบท
5.โครงการต่ออายุ 5 มาตรการ 6 เดือน ทั้งน้ำ-ไฟ-รถเมล์-รถไฟ อีก 6 เดือน แต่ปรับลดการใช้นำประปาฟรี เหลือเดือนละ 30 ลบ.ม. และใช้ไฟฟ้าฟรีไม่เกินเดือนละ 90 หน่วย งบประมาณ 11,409.2 ล้านบาท
6.โครงการช่วยเหลือเงินยังชีพคนชรา อายุเกิน 60 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบสวัสดิการ คนละ 500 บาทต่อเดือน จำนวน 3 ล้านคน รวมเป็นทั้งระบบช่วยเหลือ 5 ล้านคน งบประมาณ 9,000 ล้านบาท
7.โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพอาสาสมัคร สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน คนละ 600 บาทต่อเดือน ครอบคลุม 834,075 คน งบประมาณ 3,000 ล้านบาท
8.โครงการจัดทำและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกร สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 2,000 ล้านบาท
9.โครงการถนนปลอดฝุ่น ลาดยางทางในชนบท ระยะทาง 490 กิโลเมตร 1,500 ล้านบาท
10.โครงการจำหน่ายสินค้าราคาถูกให้กับประชาชนรายได้น้อย งบประมาณ 1,000 ล้านบาท
11.โครงการปรับปรุงสถานีอนามัยในชนบท งบประมาณ 1,095.8 ล้านบาท
12.โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน 532 แห่ง แห่งละ 3.4 ล้านบาท วงเงิน 1,808.8 ล้านบาท
13.โครงการลดผลกระทบธุรกิจท่องเที่ยว โดยจัดกิจกรรมท่องเที่ยวในประเทศ สนับสนุนส่งเสริมให้ส่วนราชการจัดสัมมนาต่างจังหวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท
14.โครงการสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร และธุรกิจขนาดกลางและขยาดย่อม (เอสเอ็มอี) 500 ล้านบาท
15.โครงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ เพื่อให้ความมั่นใจกับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 325 ล้านบาท
16.โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ขุดลอกคูคลอง 760 ล้านบาท
17.เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 2,391.3 ล้านบาท
18.รายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลัง 19,139.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ที่เมื่อจ่ายเงินคงคลังไปก่อนจะต้องตั้งงบชดเชยคืน
ข้อมูลบางส่วนโดย หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์
ช่วงนี้หลายท่านคงจะติดตามข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศราฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มี "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวที่กำลังเป็นที่วิจารย์กันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกันตน และข้าราชการที่มีรายได้ประจำต่ำกว่า 14,999 บาทต่อเดือน ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 2,000 บาทครั้งเดียว ว่าจะสามารถช่่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าเป็นไปตามสมการในทางเศรษฐศาสตร์แล้วที่บอกว่า GDPหรือY = C+I+G (สมมุติว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบปิดเพราะว่าเราจะดูผลระยะสั้นจากมาตรการดังกล่าว)ก็ต้องบอกว่าน่าจะช่วยได้เนื่องจากเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ(ตัว G) เพื่อหวังผลต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายของภาคประชาชน(ตัว C) และเมื่อมีการใช้จ่ายของประชาชนมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ก็ย่อมต้องเป็นการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP/Y)ได้ เนื่องจากซึ่งเป็นไปตามกฎของ "Golden Rule" แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากต้องดูความสามารถในกาใช้จ่ายทั้งของรับาลเองและของประชาชนด้วย
จากแผนบริหารราชการแผ่นดินระยะเวลา 3 ปี (ปี"52-"54) ที่ครม.เห็นชอบแล้ว ประมาณความต้องการใช้เงินตามนโยบายของรัฐบาลรวม 3 ปี มีวงเงินทั้งสิ้น 7.44 ล้านล้านบาท แต่มีรายได้รัฐบาล 3 ปีเพียง 5.24 ล้านล้านบาท
ทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณรวม 3 ปีเป็นเงิน 2.2 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ทีนี้เราลองมาทบทวนโครงการต่างๆของรัฐบาลกันอีกครั้งนะครับว่ามีอะไรบ้าง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ สำหรับงบประมาณกลางปี 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งจะนำเข้ารัฐสภาวันที่ 28 ม.ค. มีดังนี้
1.โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยจัดสรรเงินให้ผู้ประกันตน และข้าราชการที่มีรายได้ประจำต่ำกว่า 14,999 บาทต่อเดือน ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 2,000 บาทครั้งเดียว โอนเงินเข้าบัญชีให้ประมาณเดือนเม.ย.
2.โครงการช่วยเหลือคนตกงาน จัดอบรมผู้ว่างงานเพื่อเพิ่มศักยภาพ 6 เดือน ขณะอบรมได้เงินช่วยเหลือยังชีพเดือนละ 5,000 บาท วงเงิน 6,900 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ว่างงาน 240,000 คน ก่อนขยายเพิ่มในงบประมาณปี"53 ให้ครบ 500,000 คน
3.โครงการเรียนฟรีจริง 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลถึงม.6 ฟรีค่าเทอม เสื้อผ้า ตำราเรียน และอุปกรณ์การศึกษา งบประมาณ 19,000 ล้านบาท
4.โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน สานต่อกองทุนเอสเอ็มแอล เพื่อสร้างงานและวางรากฐานในชนบท
5.โครงการต่ออายุ 5 มาตรการ 6 เดือน ทั้งน้ำ-ไฟ-รถเมล์-รถไฟ อีก 6 เดือน แต่ปรับลดการใช้นำประปาฟรี เหลือเดือนละ 30 ลบ.ม. และใช้ไฟฟ้าฟรีไม่เกินเดือนละ 90 หน่วย งบประมาณ 11,409.2 ล้านบาท
6.โครงการช่วยเหลือเงินยังชีพคนชรา อายุเกิน 60 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบสวัสดิการ คนละ 500 บาทต่อเดือน จำนวน 3 ล้านคน รวมเป็นทั้งระบบช่วยเหลือ 5 ล้านคน งบประมาณ 9,000 ล้านบาท
7.โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพอาสาสมัคร สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน คนละ 600 บาทต่อเดือน ครอบคลุม 834,075 คน งบประมาณ 3,000 ล้านบาท
8.โครงการจัดทำและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกร สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 2,000 ล้านบาท
9.โครงการถนนปลอดฝุ่น ลาดยางทางในชนบท ระยะทาง 490 กิโลเมตร 1,500 ล้านบาท
10.โครงการจำหน่ายสินค้าราคาถูกให้กับประชาชนรายได้น้อย งบประมาณ 1,000 ล้านบาท
11.โครงการปรับปรุงสถานีอนามัยในชนบท งบประมาณ 1,095.8 ล้านบาท
12.โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน 532 แห่ง แห่งละ 3.4 ล้านบาท วงเงิน 1,808.8 ล้านบาท
13.โครงการลดผลกระทบธุรกิจท่องเที่ยว โดยจัดกิจกรรมท่องเที่ยวในประเทศ สนับสนุนส่งเสริมให้ส่วนราชการจัดสัมมนาต่างจังหวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท
14.โครงการสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร และธุรกิจขนาดกลางและขยาดย่อม (เอสเอ็มอี) 500 ล้านบาท
15.โครงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ เพื่อให้ความมั่นใจกับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 325 ล้านบาท
16.โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ขุดลอกคูคลอง 760 ล้านบาท
17.เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 2,391.3 ล้านบาท
18.รายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลัง 19,139.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ที่เมื่อจ่ายเงินคงคลังไปก่อนจะต้องตั้งงบชดเชยคืน
ข้อมูลบางส่วนโดย หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2551/2008
สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2551/2008
มาแล้วคร้าาบ!!! กับผลการจัดอันดับสายการบินที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และสายการบินที่ดีที่สุดแยกตามภูมิภาคต่างๆของโลก ในปี พ.ศ.2551(Best Regional Airline for 2008) จากผลสำรวจผู้โดยสารทั่วโลกโดยสกายแทร็คส์ มาดูกันนะครับว่าแต่ละประเภทมีสายการบินใดผลการดำเนินงานดีที่สุดในโลก และแต่ละภูมิภาคของโลก สายการบินใดเจ๋งที่สุด
BEST AIRLINE 2008 WINNER
Best Airline : Asia : Singapore Airlines
Best Airline : Australasia : Qantas
Best Airline : Africa : South African Airways
Best Airline : Europe : Lufthansa
Best Airline : Middle East : Qatar Airways
Best Airline : North America : Continental Airlines
Best Airline : South America : LAN
Best Airline : Central America : Copa Airlines
Best Airline : Pacific region : Air Tahiti Nui
Best Airline : China : Hainan Airlines
Best Airline : Central Europe : CSA Czech Airlines
Best Airline : South East Asia : Singapore Airlines
Best Airline : Northern Asia : Asiana Airlines
Best Airline : India/Cent Asia: Kingfisher Airlines
Best Airline : Transatlantic : British Airways
Best Airline : Transpacific : Air New Zealand
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
BEST BY CABIN TYPE 2008 WINNER
Best First Class : Cathay Pacific
Best Business Class : Singapore Airlines
Best Premium Economy Class : EVA Air
Best Economy Class : Asiana Airlines
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
LOW-COST AIRLINES 2008 WINNER
Best low-cost airline : Worldwide : easyJet
Best low-cost airline : Asia : Jetstar Asia
Best low-cost airline : Africa : Mango
Best low-cost airline : Australia / Pacific : Virgin Blue
Best low-cost airline : Europe : easyJet
Best low-cost airline : Middle East : Air Arabia
Best low-cost airline : North America : Southwest Airlines
Best low-cost airline : Central America : Volaris
Best low-cost airline : South America : Gol
Best low-cost airline : India / Central Asia : Spicejet
Best low-cost airline : S E Asia : Jetstar Asia
Best low-cost airline : N Asia : Skynet Asia Airways
Best low-cost airline : China : Spring Airlines
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
REGIONAL AWARDS 2008 WINNER
Refers to domestic / international flights within the specific regions
Best Regional airline : Africa South : African Airways
Best Regional airline : Asia : Bangkok Airways
Best Regional airline : Australasia : Qantas
Best Regional airline : Europe : VLM
Best Regional airline : Middle East : Emirates
Best Regional airline : North America : Alaska Airlines
Best Regional airline : South America : LAN
Best Regional airline : Central America : TACA
Best Regional airline : Northern Asia : Asiana Airlines
Best Regional airline : India/C Asia : Jet Airways
Best Regional Airline : S E Asia : Dragonair
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
มาแล้วคร้าาบ!!! กับผลการจัดอันดับสายการบินที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และสายการบินที่ดีที่สุดแยกตามภูมิภาคต่างๆของโลก ในปี พ.ศ.2551(Best Regional Airline for 2008) จากผลสำรวจผู้โดยสารทั่วโลกโดยสกายแทร็คส์ มาดูกันนะครับว่าแต่ละประเภทมีสายการบินใดผลการดำเนินงานดีที่สุดในโลก และแต่ละภูมิภาคของโลก สายการบินใดเจ๋งที่สุด
BEST AIRLINE 2008 WINNER
Best Airline : Asia : Singapore Airlines
Best Airline : Australasia : Qantas
Best Airline : Africa : South African Airways
Best Airline : Europe : Lufthansa
Best Airline : Middle East : Qatar Airways
Best Airline : North America : Continental Airlines
Best Airline : South America : LAN
Best Airline : Central America : Copa Airlines
Best Airline : Pacific region : Air Tahiti Nui
Best Airline : China : Hainan Airlines
Best Airline : Central Europe : CSA Czech Airlines
Best Airline : South East Asia : Singapore Airlines
Best Airline : Northern Asia : Asiana Airlines
Best Airline : India/Cent Asia: Kingfisher Airlines
Best Airline : Transatlantic : British Airways
Best Airline : Transpacific : Air New Zealand
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
BEST BY CABIN TYPE 2008 WINNER
Best First Class : Cathay Pacific
Best Business Class : Singapore Airlines
Best Premium Economy Class : EVA Air
Best Economy Class : Asiana Airlines
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
LOW-COST AIRLINES 2008 WINNER
Best low-cost airline : Worldwide : easyJet
Best low-cost airline : Asia : Jetstar Asia
Best low-cost airline : Africa : Mango
Best low-cost airline : Australia / Pacific : Virgin Blue
Best low-cost airline : Europe : easyJet
Best low-cost airline : Middle East : Air Arabia
Best low-cost airline : North America : Southwest Airlines
Best low-cost airline : Central America : Volaris
Best low-cost airline : South America : Gol
Best low-cost airline : India / Central Asia : Spicejet
Best low-cost airline : S E Asia : Jetstar Asia
Best low-cost airline : N Asia : Skynet Asia Airways
Best low-cost airline : China : Spring Airlines
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
REGIONAL AWARDS 2008 WINNER
Refers to domestic / international flights within the specific regions
Best Regional airline : Africa South : African Airways
Best Regional airline : Asia : Bangkok Airways
Best Regional airline : Australasia : Qantas
Best Regional airline : Europe : VLM
Best Regional airline : Middle East : Emirates
Best Regional airline : North America : Alaska Airlines
Best Regional airline : South America : LAN
Best Regional airline : Central America : TACA
Best Regional airline : Northern Asia : Asiana Airlines
Best Regional airline : India/C Asia : Jet Airways
Best Regional Airline : S E Asia : Dragonair
Result publication is allowed with prior consent of Skytrax
วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552
มองเศรษฐกิจปี 52 จากสายตาธุรกิจไทย
มองเศรษฐกิจปี 52 จากสายตาธุรกิจไทย
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้เกิดภาวะถดถอยอย่างหนัก สาเหตุหลักเนื่องมาจากวิกฤติทางการเงินของกลุ่มประเทศยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ที่ผ่านมามีผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ นักวิชาการ รวมถึงบริษัทวิจัยชื่อดัง จากหลายค่ายทั่วโลก ได้ทำการสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะวิกฤติของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งสำรวจความคิดเห็นจากธุรกิจของแต่ละประเทศทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย เรามาลองดูกันนะครับว่า ธุรกิจต่างๆในประเทศไทยเค้ามองภาวะเศรษฐกิจโลกกันอย่างไร และคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปี 52 นี้ อย่างไรกันบ้างครับ ?
แกรนท์ ธอร์นตัน อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกจากสหรัฐ ได้เผยแพร่ผลการสำรวจทัศนคติเชิงบวกของบริษัทธุรกิจทั่วโลก 7,000 แห่ง จาก 36 ประเทศทั่วโลก และเป็นดัชนีชี้วัดทัศนคติที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งเชิงบวกและลบ ปรากฏว่านักธุรกิจทั่วโลกมีทัศนคติเชิงลบในต้นปี 2552 เฉลี่ยติดลบ 16% เทียบกับบวก 40% จากการสำรวจจนถึงต้นปี 2551
ทั้งนี้ดัชนีชี้วัดของแกรนท์ ธอร์นตันซึ่งให้ผลเฉลี่ยลบ 16% ถือเป็นผลครั้งแรกที่พบว่าทัศนคติเชิงลบของธุรกิจต่างๆ มีน้ำหนักมากกว่าทัศนคติเชิงบวกที่ธุรกิจมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามรายงานผลสำรวจความเห็นของบริษัทธุรกิจทั่วโลก ส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกันว่าอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ลดลง เป็นอุปสรรคสำคัญสุดในการทำธุรกิจ
ในรายละเอียดของผลสำรวจ บ่งชี้ว่าบริษัทธุรกิจในสหรัฐและจีน ซึ่งมีจีดีพีรวมกันกว่า 32% ของจีดีพีโลก ให้ทัศนคติเชิงบวกลดลงเป็นติดลบ 34% และเป็นบวก 30% ตามลำดับ ส่วนญี่ปุ่นกับอินเดียที่มีจีดีพีรวมกันกว่า 11% ของจีดีพีโลก ให้ทัศนคติแตกต่างกันมาก คือติดลบ 85% และบวก 83% ตามลำดับ
ทั้งนี้นายปีเตอร์ วอล์คเกอร์ กรรมการอาวุโสของแกรนท์ ธอร์นตันในไทย กล่าวว่าผลสำรวจทัศนคติที่แตกต่างกันแบบสุดขั้วข้างต้น บ่งชี้ตลาดโลกยังมีความหวัง หมายความว่าขณะที่ธุรกิจทั้งหมดอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อม สำหรับภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานาน บริษัทธุรกิจในประเทศเศรษฐกิจยังคงเติบโตดีนั้นมีทัศนคติเชิงบวก และมองช่วงเวลานี้ยังเป็นโอกาส
สำหรับประเทศไทยนั้น ในรายงานของแกรนท์ ธอร์นตันระบุว่าผู้ประกอบการยังมีทัศนคติเชิงบวกลดลง จากระดับบวก 30% เมื่อต้นปี 2550 ลดเหลือติดลบ 30% ในต้นปี 2551 และติดลบมากขึ้น 63% ในต้นปี 2552 มีเพียงญี่ปุ่นกับสเปน เป็นสองทัศนคติเชิงบวกลดลงมากกว่าหรืออยู่ระดับต่ำกว่าไทย คือติดลบ 65% และ 85% ตามลำดับ
"ระดับทัศนคติเชิงบวกที่ลดลงอย่างมากนั้นไม่น่าแปลกใจ เมื่อมีทั้งปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกที่หนักขึ้นเป็นสองเท่า อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ และการสำรวจนี้จัดทำขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ปิดล้อมสนามบิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วทั้งประเทศอยู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์" นายวอล์คเกอร์อธิบาย
รายงานระบุด้วยว่า แม้ธุรกิจในหลายประเทศเป็นกลุ่มตัวอย่างจะแสดงทัศนคติเชิงลบ แต่ยังมีบริษัทธุรกิจอีกหลายประเทศให้ทัศนคติเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เช่น อินเดียให้ทัศนคติบวก 83% บอตสวานาบวก 81% ฟิลิปปินส์บวก 65% และบราซิลบวก 50%
ในทางตรงข้ามประเทศที่มีธุรกิจให้ทัศนคติเชิงลบมากสุดคือ ญี่ปุ่นติดลบ 85% และสเปนติดลบ 65% ส่วนประเทศที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันมากที่สุดได้แก่ ธุรกิจในฮ่องกงที่เปลี่ยนแปลงจากบวก 81% เมื่อต้นปี 2551 มาเป็นลบ 49% ในต้นปี 2552 เพราะเป็นศูนย์กลางการเงินที่ประสบวิกฤตมากที่สุดแห่งหนึ่ง และค้าขายกับชาติตะวันตกมากด้วย
การสำรวจยังสอบถามผู้ประกอบธุรกิจถึงปัจจัยที่ก่อความกังวลใจให้มากที่สุด พบว่าธุรกิจใน 33 ประเทศรวมทั้งไทย มองว่าอุปสงค์ผู้บริโภคที่ลดลงน่ากังวลใจมากที่สุด ตามด้วยปัญหาเครดิตการทำธุรกิจ
ความเห็นข้างต้นทำให้นายวอล์คเกอร์ชี้ว่า ผลสำรวจที่ได้จากความเห็นของผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ ควรช่วยให้ผู้นำทางการเมืองไทยและชาติอื่นๆ ตัดสินใจได้ หลังจากไม่แน่ใจเรื่องความจำเป็นต้องกระตุ้นผู้บริโภคใช้จ่าย หรือหันมาเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจเศรษฐกิจโดยลงทุนในสาธารณูปโภค
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้เกิดภาวะถดถอยอย่างหนัก สาเหตุหลักเนื่องมาจากวิกฤติทางการเงินของกลุ่มประเทศยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ที่ผ่านมามีผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ นักวิชาการ รวมถึงบริษัทวิจัยชื่อดัง จากหลายค่ายทั่วโลก ได้ทำการสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะวิกฤติของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งสำรวจความคิดเห็นจากธุรกิจของแต่ละประเทศทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย เรามาลองดูกันนะครับว่า ธุรกิจต่างๆในประเทศไทยเค้ามองภาวะเศรษฐกิจโลกกันอย่างไร และคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปี 52 นี้ อย่างไรกันบ้างครับ ?
แกรนท์ ธอร์นตัน อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกจากสหรัฐ ได้เผยแพร่ผลการสำรวจทัศนคติเชิงบวกของบริษัทธุรกิจทั่วโลก 7,000 แห่ง จาก 36 ประเทศทั่วโลก และเป็นดัชนีชี้วัดทัศนคติที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งเชิงบวกและลบ ปรากฏว่านักธุรกิจทั่วโลกมีทัศนคติเชิงลบในต้นปี 2552 เฉลี่ยติดลบ 16% เทียบกับบวก 40% จากการสำรวจจนถึงต้นปี 2551
ทั้งนี้ดัชนีชี้วัดของแกรนท์ ธอร์นตันซึ่งให้ผลเฉลี่ยลบ 16% ถือเป็นผลครั้งแรกที่พบว่าทัศนคติเชิงลบของธุรกิจต่างๆ มีน้ำหนักมากกว่าทัศนคติเชิงบวกที่ธุรกิจมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามรายงานผลสำรวจความเห็นของบริษัทธุรกิจทั่วโลก ส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกันว่าอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ลดลง เป็นอุปสรรคสำคัญสุดในการทำธุรกิจ
ในรายละเอียดของผลสำรวจ บ่งชี้ว่าบริษัทธุรกิจในสหรัฐและจีน ซึ่งมีจีดีพีรวมกันกว่า 32% ของจีดีพีโลก ให้ทัศนคติเชิงบวกลดลงเป็นติดลบ 34% และเป็นบวก 30% ตามลำดับ ส่วนญี่ปุ่นกับอินเดียที่มีจีดีพีรวมกันกว่า 11% ของจีดีพีโลก ให้ทัศนคติแตกต่างกันมาก คือติดลบ 85% และบวก 83% ตามลำดับ
ทั้งนี้นายปีเตอร์ วอล์คเกอร์ กรรมการอาวุโสของแกรนท์ ธอร์นตันในไทย กล่าวว่าผลสำรวจทัศนคติที่แตกต่างกันแบบสุดขั้วข้างต้น บ่งชี้ตลาดโลกยังมีความหวัง หมายความว่าขณะที่ธุรกิจทั้งหมดอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อม สำหรับภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานาน บริษัทธุรกิจในประเทศเศรษฐกิจยังคงเติบโตดีนั้นมีทัศนคติเชิงบวก และมองช่วงเวลานี้ยังเป็นโอกาส
สำหรับประเทศไทยนั้น ในรายงานของแกรนท์ ธอร์นตันระบุว่าผู้ประกอบการยังมีทัศนคติเชิงบวกลดลง จากระดับบวก 30% เมื่อต้นปี 2550 ลดเหลือติดลบ 30% ในต้นปี 2551 และติดลบมากขึ้น 63% ในต้นปี 2552 มีเพียงญี่ปุ่นกับสเปน เป็นสองทัศนคติเชิงบวกลดลงมากกว่าหรืออยู่ระดับต่ำกว่าไทย คือติดลบ 65% และ 85% ตามลำดับ
"ระดับทัศนคติเชิงบวกที่ลดลงอย่างมากนั้นไม่น่าแปลกใจ เมื่อมีทั้งปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกที่หนักขึ้นเป็นสองเท่า อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ และการสำรวจนี้จัดทำขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ปิดล้อมสนามบิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วทั้งประเทศอยู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์" นายวอล์คเกอร์อธิบาย
รายงานระบุด้วยว่า แม้ธุรกิจในหลายประเทศเป็นกลุ่มตัวอย่างจะแสดงทัศนคติเชิงลบ แต่ยังมีบริษัทธุรกิจอีกหลายประเทศให้ทัศนคติเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เช่น อินเดียให้ทัศนคติบวก 83% บอตสวานาบวก 81% ฟิลิปปินส์บวก 65% และบราซิลบวก 50%
ในทางตรงข้ามประเทศที่มีธุรกิจให้ทัศนคติเชิงลบมากสุดคือ ญี่ปุ่นติดลบ 85% และสเปนติดลบ 65% ส่วนประเทศที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันมากที่สุดได้แก่ ธุรกิจในฮ่องกงที่เปลี่ยนแปลงจากบวก 81% เมื่อต้นปี 2551 มาเป็นลบ 49% ในต้นปี 2552 เพราะเป็นศูนย์กลางการเงินที่ประสบวิกฤตมากที่สุดแห่งหนึ่ง และค้าขายกับชาติตะวันตกมากด้วย
การสำรวจยังสอบถามผู้ประกอบธุรกิจถึงปัจจัยที่ก่อความกังวลใจให้มากที่สุด พบว่าธุรกิจใน 33 ประเทศรวมทั้งไทย มองว่าอุปสงค์ผู้บริโภคที่ลดลงน่ากังวลใจมากที่สุด ตามด้วยปัญหาเครดิตการทำธุรกิจ
ความเห็นข้างต้นทำให้นายวอล์คเกอร์ชี้ว่า ผลสำรวจที่ได้จากความเห็นของผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ ควรช่วยให้ผู้นำทางการเมืองไทยและชาติอื่นๆ ตัดสินใจได้ หลังจากไม่แน่ใจเรื่องความจำเป็นต้องกระตุ้นผู้บริโภคใช้จ่าย หรือหันมาเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจเศรษฐกิจโดยลงทุนในสาธารณูปโภค
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552
บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ2
บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ2
สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
หลังจากคราวที่แล้วที่ผมวางแผนไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านเพื่อน(ไอ้เอก)ที่อำเภอวังน้ำเขียว แต่สุดท้ายก็ยังไปไม่ถึงซักทีเนื่องจากแวะ Count dawn ที่งานคาวบอย บริเวณเขาแคน ปากช่องก่อน 1 คืน พอรุ่งเช้าพี่ชายเพื่อมาชวนไปใส่บาตรอาหารแห้ง ผมจึงมีโอกาสได้ไปทำบุญอีกครั้งหลังจากทำบาปมาทั้งคืน 55+ บริเวณที่เราไปใส่บาตรนั้น เป็นบริเวณพื้นที่ของไนท์บาร์ซ่าปากช่องครับ ก็ไม่ไกลจากบ้านมันเช่นกัน เค้าปิดถนนบริเวณนั้นแล้วให้คนรอใส่บาตรแบ่งออกเป็นสองแถว พระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาตรก็จะเดินไปแล้ววนกลับเป็นรูปตัว U ทำให้วันนี้ผมรู้สึกว่าเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ของผมที่ดีมากๆ อิ่มบุญแต่เช้าเลยเรา พอกลับมาบ้านเอาอีกแล้วครับ ตั้งวงกันอีกแล้วกินเหล้าเช้าก่อนเลยครับ (ไรวะเนี่ย เพิ่งทำบุญมาแท้ๆ)จากเหล้าเช้า ต่อด้วยข้าวเช้า ตามด้วยเหล้าเที่ยง.. บ่าย ได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสองคน คือพี่หลอด(ออฟเดอะรั่ว คือเมาแล้วรั่วมากๆ)กับ เชน อื้ออึง(มือกีตาร์แห่งบันไดม้า)แต่ไม่มีเพลงใดที่เชนเล่นจบ ทุกเพลงมันร้องแต่ อื้ออึง อื้ออึง (อะไรของมันวะเนี๊ยๆ)
ประมาณซักบ่ายสองผมกับเพื่อนจึงได้ฤกษ์เดินทางไปบ้านไอ้เอกที่วังน้ำเขียวซักกะที 55+ โดยเราเอารถยนต์เพื่อนไป ระหว่างทางเบลอมากๆครับ รถวิ่งผ่านแปลงเกษตรปลอดสารพิษไปไกลแค่ไหนไม่รู้เรื่องเลย ผ่านสวนกล้วยไม้ตอนไหนก็ยังไม่รู้เรื่องอีก แต่รู้สองอย่างว่า หนึ่งนับรถโดยสารที่วิ่งมาตั้งแต่เราออกเดินทางได้3คันซึ่งถ้าเรานั่งรถโดยสารไปคงยังไม่ถึงไหนเป็นแน่แท้ อย่างที่สองคือตูหลงทางแล้ววววเฟ่ยยย คราวซวยมาเยือนอีกรอบครับพี่น้อง คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี ส่วนมือถือเพื่อนคลื่นเต็มแต่ดันโทรออกไม่ได้ ไรของมันวะเนี๊ยยยจะถึงมั้ยวะไอ้วังน้ำเขียวเนี่ย 55+ ขับตรงไปเรื่อยๆดันเจอทางแยก เอาล่ะสิครับ จะเลี้ยวหรือจะตรงไปดี เอาวะเป็นไงเป็นกันทางข้างหน้าเราไม่คุ้นเพราะมันลาดยาง งั้นเลี้ยวซ้ายไปเลยเพื่อน อ่าวเฮ้ย!คลองส่งน้ำมาไงวะเนี่ย งงเต็ก!?? แต่โชคชะตามักเข้าข้างคนหน้าตาดี (อิอิ)สายตาอันแหลมคมของผมดันมองไปเห็นผู้ชายคนนึงกำลังเดินออกจากบ้านพอดี ในมือถือพี่แกขวดเบียร์ซะแน่นเลยสงสัยกำลังจะไปรับประทานเบียร์กับเพื่อนแน่ๆ ตกใจอีกครั้งไม่อยากเชื่อครับพี่น้อง อ้าวเฮ้ยนี่มัน ไอ้โอนี่หว่า(เพื่อนรุ่นพี่ที่เกษตรสีคิ้ว) แล้วนั่นใครวะพ่อมันแน่เลยท่าทางหนวดเยอะๆเข้าไปทักทายมันพร้อมยกมือสวัสดีพ่อมัน แต่พอพ่อมันเดินมาใกล้ๆ อ่าวไอ้นี่มันไอ้สิทธิ์นี่หว่า(เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เกษตรสีคิ้ว)ถึงว่าหน้าตาคุ้นๆ ไอ้เราก็นึกว่าพ่อเพื่อน แม่งเป็นเพื่อนตูซะงั้น ที่สำคัญเพิ่งรู้ว่ามันสองคนเป็นพี่น้องกัน แถมไอ้สิทธิ์มันเป็นหนึ่งในคนขับรถประจำทางที่ผมนับได้นั่นเอง มันบอกว่าบ้านมันวิ่งรถ อีกอย่างที่เพิ่งรู้คือ นี่ตูมีเพื่อนเยอะขนาดนี้เลยเหรอฟ่ะ 55+(คนของสังคมจริงๆ)ที่จริงแถวนี้ผมเคยมาแต่ลืมไปจากสมองซะสนิทเลยครับถ้าไม่เจอมันสองคน ก็คงจำไม่ได้แน่ๆ มาตอกย้ำคนมีเพื่อนเยอะกันอีกครั้งเนื่องจากบ้านที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านไอ้โอและไอ้สิทธิ์นั่นก็คือบ้านไอ้ออย ซึ่งมันก็คือเพื่อนเราอีกเช่นกัน เออเอากับมันสิ สรุปในที่สุดก็ได้รู้ว่าถ้าเราตัดสินใจขับรถตรงไปไม่เลี้ยวซ้ายซะตั้งแต่แรกก็ถึงบ้านเพื่อน(ไอ้เอก)ตั้งนานแล้วครับพี่น้อง งมเข็มซะจนเจอเลย 55+
ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงบ้านไอ้เอกซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของผม ดีใจมาก ดีใจสุดๆ เจอหน้ามันเหมือนไม่ได้เจอกันมาเป็นเป็นปีๆ ฮะๆ แวะทักทายพี่สาวมัน เนื่องจากพ่อแม่มันไม่อยู่จึงได้แค่ฝากของฝากไว้เท่านั้น
หลังจากพูคุยทักทายกันได้ไม่นาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ถูกต้องนะคร้าาบ! วงเหล้านั่นเอง 55 หลังจากตั้งวงได้ไม่นานเนื่องจากใกล้จะค่ำแล้ว ผมและเพื่อนจึงจัดเตรียมที่นอนซึ่งคืนนี้เราจะกางเตนท์นอนกันท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น และแสงดาว ฮ่าๆๆ อะไรจะโรแมนติกขนาดนี้ฟ่ะ แต่ผมไม่ได้พูดเกินความเป็นจริงเลย ที่นั่นอากาศเย็นมากๆ ลมแรง ท้องฟ้าโปร่ง มองเห็นดาวได้ชัดเจนดีจริงๆ ระหว่างนั่งรับประทานเหล้ากับเพื่อนๆ พวกเราเอาเครื่องเสียงมาเปิด ถึงแม้จะเสียงดังมากแต่ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาด่า เพราะว่าบริเวณบ้านไอ้เอกมันเป็นพื้นที่กว้างติดภูเขา เปิดดังแค่ไหนเสียงก็กระจายออก ไม่เดือดร้อนชาวบ้านครับพี่น้อง ที่สำคัญไอ้เอกมันบอกว่า เต็มที่เลยเพื่อน ดีมั้ยล่ะครับเพื่อนผม พอตกดึกเราก็เข้านอนเก็บแรงไว้ กะว่าจะไปเที่ยวตามแผนที่เพื่อนผมมันวางไว้โดยมีตัวเลือกดังนี้ อุทยานแห่งชาติป่าเขาภูหลวง งานดอกเบญจมาศบาน หรือไม่ก็น้ำตกสะพานหิน
พอตื่นเช้าขึ้นมาสูดอากาศเต็มที่ครับ บรรยากาศบ้านมันสุดยอดเลย ถึงแม้บ้านเพื่อนผมจะเป็นกระท่อม แต่มันก็ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ได้สวยดีของมัน หน้าบ้านมันมองไปข้างหน้ามีภูเขาชื่อว่า "เขาโซ่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขาใหญ่ แล้วมีถนนลาดยางตัดผ่านตามคำโม้ของมันก่อนที่ผมจะไปจริงๆ แต่อากาศในตอนเช้าเย็นมากๆ ลมพัดตลอดเวลา ผมตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนไปกินข้าว(หลังจากไม่ได้อาบมาตลอดสองวันเต็มๆอิอิ)ต้องขอบคุณพี่แตและน้องนุช(พี่สาวไอ้เอกและแฟนไอ้ต้น)ที่คอยทำกับข้าว+กับแกล้มให้ตลอดเวลา ซึ่งอร่อยมากกกกจริงๆสำรับไข่เจียวและผัดกระเพาถึงแม้นำมันจะเยิ้มไปนิด(สงสัยเพราะราคาน้ำมันลงมั้ง)เครื่องเสียงทำงานอีกครั้งหลังได้เวลาเข้างานของกลุ่มศิลปินจากค่ายต่างๆที่มาตั้งวงกันอีกครั้ง ทำไปทำส ถานที่ท่องเที่ยวที่วางไว้เลยไม่ได้ไปมันเลยซักที่ 55+ หลังจากที่พวกเราเบื่อฟังเครื่องเสียงกันแล้วเนื่องจากคิดว่าร้องเองน่าจะเพราะกว่า อิอิ เลยตัดสินใจเอากีตาร์โปร่งไฟฟ้า(ของผมเองคร้าบ)มาเสียบสายแจ๊คเข้ากับเครื่องเสียงเล่นมันบนเขาซะเลย นั่งเล่นกีตาร์ท่ามกลางบรรยากาศบนเขาเหมือนเล่นคอนเสิร์ตยังไงยังงั้นครับ แต่คนฟังกับคนร้องนี่สิ...คิดเอาเอง 55+
ตอนแรกว่าจะกลับ4โมงเย็นของวันที่ 2 ม.ค.52 นี้แต่ทำไปทำมาเป็น 4 โมงเช้าของวันที่ 3 ม.ค.52 ซะงั้น หลังจากบอกลาไอ้เอกและพี่สาวมัน ผม ไอ้ต้น น้องนุช ก็ขับรถลงมาจากวัง(น้ำเขียว)เพื่อกลับบ้านซึ่งพอถึงบ้านไอ้ต้น น้องหนุ่ม(น้องชายไอ้ต้น)ก็ขับรถมอ'ไซด์พ่วงซึ่งไม่มีเบาะสำหรับคนนั่งพ่วงมีแต่โครงเหล็กล้วนๆครับพี่น้อง พอไปส่งผมที่ท่ารถปากช่องเสร็จ(ไม่ใช่บขส.ปากช่องนะครับ)ในใจอยากบอกมันว่าขอบใจมากน้องแต่ตูเจ็บตูดจิ๊บเป๋ง แฟนไอ้หนุ่มมันขายข้าวแกงที่ท่ารถพอดีไปถึงไอ้หนุ่มมันไม่พูดพล่ามทำเพลง ตักข้าวใส่จานราดแกงพร้อมส่งให้ผมเฉยเลย งงครับพี่น้อง สงสัยมันนึกว่าเราหิวจัดมั้ง แต่เออกินก็กินขอบใจมากๆ ของฟรีนี่หว่า 55+ แฟนไอ้หนุ่มนิสัยดีมากแถมซี้กับพี่คนขายตั๋วอีกช่วยส่งสัญญาณบอกว่ารถคันไหนควรขึ้นคันไหนไม่ควรขึ้น ซึ่งผมก็ได้นั่งรถคันที่คนว่าง เบาะนั่งนุ่มสบายอย่างที่ต้องการ(ต่างจากตอนมาราวฟ้ากับเหว) ต้องขอบคุณน้องหนุ่มและน้องนุชผู้น่ารักมากๆๆนะครับ สรุปงบประมาณที่ใช้ในการเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ของผมกันหน่อยดีมั้ยครับ ก่อนไปผมกดเงินไป 1,000 บาทครับ ขากลับมา เหลือเงินอยู่ 10 บาทพอดิบพอดี 55+ เป็นไงครับ เงินพันนึงทุกท่านคิดว่าคุ้มค่ามั้ยครับกับการเดินทางครั้งนี้ของผม ส่วนผมบอกได้เลยว่าคุ้มเกินคุ้มครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขสดชื่นตลอดไป ขอให้ สุขขี สุขขัง สุขคารัง สุขคารู เทิ้ด...สาธุ 555 แล้วเจอกันครับ
สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
หลังจากคราวที่แล้วที่ผมวางแผนไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านเพื่อน(ไอ้เอก)ที่อำเภอวังน้ำเขียว แต่สุดท้ายก็ยังไปไม่ถึงซักทีเนื่องจากแวะ Count dawn ที่งานคาวบอย บริเวณเขาแคน ปากช่องก่อน 1 คืน พอรุ่งเช้าพี่ชายเพื่อมาชวนไปใส่บาตรอาหารแห้ง ผมจึงมีโอกาสได้ไปทำบุญอีกครั้งหลังจากทำบาปมาทั้งคืน 55+ บริเวณที่เราไปใส่บาตรนั้น เป็นบริเวณพื้นที่ของไนท์บาร์ซ่าปากช่องครับ ก็ไม่ไกลจากบ้านมันเช่นกัน เค้าปิดถนนบริเวณนั้นแล้วให้คนรอใส่บาตรแบ่งออกเป็นสองแถว พระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาตรก็จะเดินไปแล้ววนกลับเป็นรูปตัว U ทำให้วันนี้ผมรู้สึกว่าเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ของผมที่ดีมากๆ อิ่มบุญแต่เช้าเลยเรา พอกลับมาบ้านเอาอีกแล้วครับ ตั้งวงกันอีกแล้วกินเหล้าเช้าก่อนเลยครับ (ไรวะเนี่ย เพิ่งทำบุญมาแท้ๆ)จากเหล้าเช้า ต่อด้วยข้าวเช้า ตามด้วยเหล้าเที่ยง.. บ่าย ได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสองคน คือพี่หลอด(ออฟเดอะรั่ว คือเมาแล้วรั่วมากๆ)กับ เชน อื้ออึง(มือกีตาร์แห่งบันไดม้า)แต่ไม่มีเพลงใดที่เชนเล่นจบ ทุกเพลงมันร้องแต่ อื้ออึง อื้ออึง (อะไรของมันวะเนี๊ยๆ)
ประมาณซักบ่ายสองผมกับเพื่อนจึงได้ฤกษ์เดินทางไปบ้านไอ้เอกที่วังน้ำเขียวซักกะที 55+ โดยเราเอารถยนต์เพื่อนไป ระหว่างทางเบลอมากๆครับ รถวิ่งผ่านแปลงเกษตรปลอดสารพิษไปไกลแค่ไหนไม่รู้เรื่องเลย ผ่านสวนกล้วยไม้ตอนไหนก็ยังไม่รู้เรื่องอีก แต่รู้สองอย่างว่า หนึ่งนับรถโดยสารที่วิ่งมาตั้งแต่เราออกเดินทางได้3คันซึ่งถ้าเรานั่งรถโดยสารไปคงยังไม่ถึงไหนเป็นแน่แท้ อย่างที่สองคือตูหลงทางแล้ววววเฟ่ยยย คราวซวยมาเยือนอีกรอบครับพี่น้อง คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี ส่วนมือถือเพื่อนคลื่นเต็มแต่ดันโทรออกไม่ได้ ไรของมันวะเนี๊ยยยจะถึงมั้ยวะไอ้วังน้ำเขียวเนี่ย 55+ ขับตรงไปเรื่อยๆดันเจอทางแยก เอาล่ะสิครับ จะเลี้ยวหรือจะตรงไปดี เอาวะเป็นไงเป็นกันทางข้างหน้าเราไม่คุ้นเพราะมันลาดยาง งั้นเลี้ยวซ้ายไปเลยเพื่อน อ่าวเฮ้ย!คลองส่งน้ำมาไงวะเนี่ย งงเต็ก!?? แต่โชคชะตามักเข้าข้างคนหน้าตาดี (อิอิ)สายตาอันแหลมคมของผมดันมองไปเห็นผู้ชายคนนึงกำลังเดินออกจากบ้านพอดี ในมือถือพี่แกขวดเบียร์ซะแน่นเลยสงสัยกำลังจะไปรับประทานเบียร์กับเพื่อนแน่ๆ ตกใจอีกครั้งไม่อยากเชื่อครับพี่น้อง อ้าวเฮ้ยนี่มัน ไอ้โอนี่หว่า(เพื่อนรุ่นพี่ที่เกษตรสีคิ้ว) แล้วนั่นใครวะพ่อมันแน่เลยท่าทางหนวดเยอะๆเข้าไปทักทายมันพร้อมยกมือสวัสดีพ่อมัน แต่พอพ่อมันเดินมาใกล้ๆ อ่าวไอ้นี่มันไอ้สิทธิ์นี่หว่า(เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เกษตรสีคิ้ว)ถึงว่าหน้าตาคุ้นๆ ไอ้เราก็นึกว่าพ่อเพื่อน แม่งเป็นเพื่อนตูซะงั้น ที่สำคัญเพิ่งรู้ว่ามันสองคนเป็นพี่น้องกัน แถมไอ้สิทธิ์มันเป็นหนึ่งในคนขับรถประจำทางที่ผมนับได้นั่นเอง มันบอกว่าบ้านมันวิ่งรถ อีกอย่างที่เพิ่งรู้คือ นี่ตูมีเพื่อนเยอะขนาดนี้เลยเหรอฟ่ะ 55+(คนของสังคมจริงๆ)ที่จริงแถวนี้ผมเคยมาแต่ลืมไปจากสมองซะสนิทเลยครับถ้าไม่เจอมันสองคน ก็คงจำไม่ได้แน่ๆ มาตอกย้ำคนมีเพื่อนเยอะกันอีกครั้งเนื่องจากบ้านที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านไอ้โอและไอ้สิทธิ์นั่นก็คือบ้านไอ้ออย ซึ่งมันก็คือเพื่อนเราอีกเช่นกัน เออเอากับมันสิ สรุปในที่สุดก็ได้รู้ว่าถ้าเราตัดสินใจขับรถตรงไปไม่เลี้ยวซ้ายซะตั้งแต่แรกก็ถึงบ้านเพื่อน(ไอ้เอก)ตั้งนานแล้วครับพี่น้อง งมเข็มซะจนเจอเลย 55+
ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงบ้านไอ้เอกซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของผม ดีใจมาก ดีใจสุดๆ เจอหน้ามันเหมือนไม่ได้เจอกันมาเป็นเป็นปีๆ ฮะๆ แวะทักทายพี่สาวมัน เนื่องจากพ่อแม่มันไม่อยู่จึงได้แค่ฝากของฝากไว้เท่านั้น
หลังจากพูคุยทักทายกันได้ไม่นาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ถูกต้องนะคร้าาบ! วงเหล้านั่นเอง 55 หลังจากตั้งวงได้ไม่นานเนื่องจากใกล้จะค่ำแล้ว ผมและเพื่อนจึงจัดเตรียมที่นอนซึ่งคืนนี้เราจะกางเตนท์นอนกันท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น และแสงดาว ฮ่าๆๆ อะไรจะโรแมนติกขนาดนี้ฟ่ะ แต่ผมไม่ได้พูดเกินความเป็นจริงเลย ที่นั่นอากาศเย็นมากๆ ลมแรง ท้องฟ้าโปร่ง มองเห็นดาวได้ชัดเจนดีจริงๆ ระหว่างนั่งรับประทานเหล้ากับเพื่อนๆ พวกเราเอาเครื่องเสียงมาเปิด ถึงแม้จะเสียงดังมากแต่ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาด่า เพราะว่าบริเวณบ้านไอ้เอกมันเป็นพื้นที่กว้างติดภูเขา เปิดดังแค่ไหนเสียงก็กระจายออก ไม่เดือดร้อนชาวบ้านครับพี่น้อง ที่สำคัญไอ้เอกมันบอกว่า เต็มที่เลยเพื่อน ดีมั้ยล่ะครับเพื่อนผม พอตกดึกเราก็เข้านอนเก็บแรงไว้ กะว่าจะไปเที่ยวตามแผนที่เพื่อนผมมันวางไว้โดยมีตัวเลือกดังนี้ อุทยานแห่งชาติป่าเขาภูหลวง งานดอกเบญจมาศบาน หรือไม่ก็น้ำตกสะพานหิน
พอตื่นเช้าขึ้นมาสูดอากาศเต็มที่ครับ บรรยากาศบ้านมันสุดยอดเลย ถึงแม้บ้านเพื่อนผมจะเป็นกระท่อม แต่มันก็ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ได้สวยดีของมัน หน้าบ้านมันมองไปข้างหน้ามีภูเขาชื่อว่า "เขาโซ่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขาใหญ่ แล้วมีถนนลาดยางตัดผ่านตามคำโม้ของมันก่อนที่ผมจะไปจริงๆ แต่อากาศในตอนเช้าเย็นมากๆ ลมพัดตลอดเวลา ผมตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนไปกินข้าว(หลังจากไม่ได้อาบมาตลอดสองวันเต็มๆอิอิ)ต้องขอบคุณพี่แตและน้องนุช(พี่สาวไอ้เอกและแฟนไอ้ต้น)ที่คอยทำกับข้าว+กับแกล้มให้ตลอดเวลา ซึ่งอร่อยมากกกกจริงๆสำรับไข่เจียวและผัดกระเพาถึงแม้นำมันจะเยิ้มไปนิด(สงสัยเพราะราคาน้ำมันลงมั้ง)เครื่องเสียงทำงานอีกครั้งหลังได้เวลาเข้างานของกลุ่มศิลปินจากค่ายต่างๆที่มาตั้งวงกันอีกครั้ง ทำไปทำส ถานที่ท่องเที่ยวที่วางไว้เลยไม่ได้ไปมันเลยซักที่ 55+ หลังจากที่พวกเราเบื่อฟังเครื่องเสียงกันแล้วเนื่องจากคิดว่าร้องเองน่าจะเพราะกว่า อิอิ เลยตัดสินใจเอากีตาร์โปร่งไฟฟ้า(ของผมเองคร้าบ)มาเสียบสายแจ๊คเข้ากับเครื่องเสียงเล่นมันบนเขาซะเลย นั่งเล่นกีตาร์ท่ามกลางบรรยากาศบนเขาเหมือนเล่นคอนเสิร์ตยังไงยังงั้นครับ แต่คนฟังกับคนร้องนี่สิ...คิดเอาเอง 55+
ตอนแรกว่าจะกลับ4โมงเย็นของวันที่ 2 ม.ค.52 นี้แต่ทำไปทำมาเป็น 4 โมงเช้าของวันที่ 3 ม.ค.52 ซะงั้น หลังจากบอกลาไอ้เอกและพี่สาวมัน ผม ไอ้ต้น น้องนุช ก็ขับรถลงมาจากวัง(น้ำเขียว)เพื่อกลับบ้านซึ่งพอถึงบ้านไอ้ต้น น้องหนุ่ม(น้องชายไอ้ต้น)ก็ขับรถมอ'ไซด์พ่วงซึ่งไม่มีเบาะสำหรับคนนั่งพ่วงมีแต่โครงเหล็กล้วนๆครับพี่น้อง พอไปส่งผมที่ท่ารถปากช่องเสร็จ(ไม่ใช่บขส.ปากช่องนะครับ)ในใจอยากบอกมันว่าขอบใจมากน้องแต่ตูเจ็บตูดจิ๊บเป๋ง แฟนไอ้หนุ่มมันขายข้าวแกงที่ท่ารถพอดีไปถึงไอ้หนุ่มมันไม่พูดพล่ามทำเพลง ตักข้าวใส่จานราดแกงพร้อมส่งให้ผมเฉยเลย งงครับพี่น้อง สงสัยมันนึกว่าเราหิวจัดมั้ง แต่เออกินก็กินขอบใจมากๆ ของฟรีนี่หว่า 55+ แฟนไอ้หนุ่มนิสัยดีมากแถมซี้กับพี่คนขายตั๋วอีกช่วยส่งสัญญาณบอกว่ารถคันไหนควรขึ้นคันไหนไม่ควรขึ้น ซึ่งผมก็ได้นั่งรถคันที่คนว่าง เบาะนั่งนุ่มสบายอย่างที่ต้องการ(ต่างจากตอนมาราวฟ้ากับเหว) ต้องขอบคุณน้องหนุ่มและน้องนุชผู้น่ารักมากๆๆนะครับ สรุปงบประมาณที่ใช้ในการเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ของผมกันหน่อยดีมั้ยครับ ก่อนไปผมกดเงินไป 1,000 บาทครับ ขากลับมา เหลือเงินอยู่ 10 บาทพอดิบพอดี 55+ เป็นไงครับ เงินพันนึงทุกท่านคิดว่าคุ้มค่ามั้ยครับกับการเดินทางครั้งนี้ของผม ส่วนผมบอกได้เลยว่าคุ้มเกินคุ้มครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขสดชื่นตลอดไป ขอให้ สุขขี สุขขัง สุขคารัง สุขคารู เทิ้ด...สาธุ 555 แล้วเจอกันครับ
บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ
บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ
สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะครับ ไม่ทราบว่าปีใหม่ที่ผ่านมาพี่น้องท่านใดไปเที่ยว หรือไป Count dawn ที่ไหนกันมาบ้างครับ ยังไงก็อย่าลืมแวะเข้ามาเล่าเรื่องราวสนุกๆของแต่ละคนกันที่นี่ด้วยนะครับ
ส่วนผมแน่นอนครับ ไปเที่ยวตามโปรแกรมทีวางไว้เลยครับ วังน้ำเขียว ครับท่าน หลังจากเลื่อนกำหนดวันเวลาเดินทางจากเดิมที่กะจะไปวันที่ 1 เปลี่ยนเป็นวันที่ 31 ธันวาคม สิ้นปีพอดี เนื่องจากสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ 55 พอแพ็คกระเป๋าเสร็จก็รีบออกเดินทางทันที ประมาณ 09:00น. Go strage on เป้าหมายคือบ้านเพื่อนที่วังน้ำเขียว ในใจคิดว่าคนที่เดินทางส่วนใหญ่น่าจะเป็นขาลงที่เข้าสู่ต่างจังหวัดไปทางภาคอีสานมากกว่า จริงอย่างที่คิดครับคนเต็ม บขส.ครับพี่น้อง แต่เราไม่กลัวอยู่แล้วครับ ก็เราจะไปทางกรุงเทพฯนี่หว่า รถมันต้องว่างอยู่แล้ว จริงมั้ย 55 ที่ไหนได้ครับพี่น้องตลอดสองชั่วโมงเต็มที่เดินทางยืนตลอดเบียดกันสุดๆครับ เพราะว่าคนที่จะเดินทางไปทางกทม.มีน้อยทางบริษัทขนส่งจึงจัดให้เราขึ้นรถคันเดียวกันเลย จากที่ว่าน้อยๆ มันก็กลายเป็นแน่นเต็มคันรถ เอากะมันสิ แต่ไม่เป็นไรครับแค่สองชั่วโมง เล็กน้อย ๆ ในที่สุดเวลาประมาณ 11:20 น.ก็ถึง 7'11ที่ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง กะว่าจะต่อรถไปวังน้ำเขียวเลย ดันนึกถึงเพื่อนอีกคนขึ้นมาได้ จะไปคนเดียวก็กลัวไม่มัน เดี๋ยววงเหล้าคนจะน้อย อิอิ โทรชวนมันซะหน่อยดีกว่า ยังไงก็เผื่อจะได้มีเพื่อนคุยระหว่างเดินทางด้วย
พอเพื่อนมารับมันดันชวนไปกินเหล้าบ้านมันก่อนซะงั้นไอ้เราก็จะบ่นเพื่อนก็เกรงใจ (คนดีของสังคมอยู่แล้ว อิอิ)เลยเออออไปกับมันซะงั้น เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า จากสาย กลายเป็นบ่าย จากบ่ายกลายเป็นเย็น จากเย็นกลายเป็นค่ำ สรุปพอค่ำมันชวนไปเที่ยวในไร่มันต่อ (เฮอะๆ ตูจะไปวังน้ำเขียวๆๆ)เสร็จมันจนได้ แต่ไม่ว่ากันอยู่แล้วไปไหนไปกันครับพี่น้อง เข้าไร่มันดีมากๆๆไหว้พ่อแม่ญาติพี่น้องมันเสร็จ แม่มันทำขนมจีนน้ำยาเลี้ยง อร่อยมากๆๆๆ (วังน้ำเขียวหายไปจากสมองทันทีครับพี่น้อง)นั่งในไร่มันไม่นานนักก็พากันบอกลาพ่อแม่พี่น้องเพื่อนออกจากไรเดินทางเข้าเมืองอีกครั้ง (เมืองปากช่องนะ อิอิ)
เนื่องจากวันนี้เพื่อนมันบอกว่า ที่บริเวณเขาแคน จะมี"งานคาวบอยปากช่อง" ซึ่งเค้าจะมีการ Count dawn ที่นี่ด้วย อารมณ์อยากไปกระโดดมาอีกแล้วครับ มันถามว่าจะไปมั้ยวะ? ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยครับ ไปอยู่แล้ว เขาแคนที่ว่าก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านมันเท่าไหร่นัก ใครที่ผ่านไปทางกรุงเทพฯคงสังเกตเห็นได้ไม่ยากเย็นนัก บรรยากาศภายในงานเป็นการปิดถนน มีลานเบียร์ยาวมากๆข้างหน้ามีเวทีสำหรับการแสดงคอนเสิร์ต ด้านหลังของงานบริเวณทางเข้าจะมีการออกบูตเปิดร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับคาวบอย มีเกมยิงธนูให้ทดลองยิงเป้าจริงๆ ผมไปยืนดูสาวๆยิงธนูมา น่ารักมากๆเลย อิอิ แล้วยังมีการแสดงโชว์ขี่ม้าให้ผู้ที่สนใจได้ดูอีกด้วย
ผมและเพื่อนแล้วก็พี่น้องมันไปด้วยกันประมาณ 6 คน หาที่นั่งแทบไม่มี คนเยอะมากๆ หันซ้ายแลขวาไปเจอรูปปั้นช้างพอที่จะมีที่นั่งอยู่บ้าง เอาวะนั่งมันตรงนี้แหละ ข้างๆเป็นร้านขายอาหารปิ้งย่างเดินไปซื้อมาเป็นกลับแกล้มซะหน่อย พอมองหน้าแม่ค้า อ้าวเฮ้ย! เพื่อนเรานี่หว่า มาได้ไงวะเนี่ย? สาวราชภัฏ น่ารักมากๆแต่งตัวเป็นคาวเกิร์ล มาขายลูกชิ้นปิ้งในงานคาวบอยปากช่อง น่ารักมากมาย ชอบๆๆ
พอใกล้เวลาเที่ยงคืนพิธีกรบนเวทีก็บอกให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนเตรียมตัว Count dawn พร้อมกัน ผมสังเกตได้ว่าบรรยากาศที่คึกคักภายในงานที่ตอนแรกคึกคักเสียงดังมากๆกลับเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด 10.9.8.7.6.5.4.3.2..1 เฮ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงดังมากๆ พลุไฟถูกจุดบนเขาแคน เราอยู่ข้างล่าง มองไปข้างบนสวยมากจริงๆ ไม่ได้เวอร์นะครับ ใครมีประสบการณ์แบบนี้คงรู้ดีว่ามันน่าประทับใจแค่ไหน นั่งดื่มเบียร์สดๆกับเพื่อนๆ บรรยากาศยังกะงานบอลโลกนัดชิง มีพลุไฟจุดตอนเฉลิมฉลอง ใครจะไม่มีความสุขบ้างครับจริงมั้ย?
พองานเลิกเราทั้งหมดก็กลับบ้านไปกินต่อกัน แน่นอนครับเกือบสว่างครับพี่น้อง 55+ ปีเก่าผ่านไปปีใหม่ผ่านมา สุขหรรษาเฮฮาตลอดคืน จริงๆ
สรุปแล้ววันที่ 31 ธ.ค.51 ผมก็ยังไปไม่ถึงวังน้ำเขียวจนได้ 55+ ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวคราวหน้าเราค่อยมาต่อกัน กิจกรรมที่ผมไปเที่ยวที่วังน้ำเขียวเลยจะมีอะไรบ้าง จะเหมือนกับที่ผมคิดไว้ก่อนเดินทางรึเปล่า หรือว่าตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกันแน่ 55+
สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะครับ ไม่ทราบว่าปีใหม่ที่ผ่านมาพี่น้องท่านใดไปเที่ยว หรือไป Count dawn ที่ไหนกันมาบ้างครับ ยังไงก็อย่าลืมแวะเข้ามาเล่าเรื่องราวสนุกๆของแต่ละคนกันที่นี่ด้วยนะครับ
ส่วนผมแน่นอนครับ ไปเที่ยวตามโปรแกรมทีวางไว้เลยครับ วังน้ำเขียว ครับท่าน หลังจากเลื่อนกำหนดวันเวลาเดินทางจากเดิมที่กะจะไปวันที่ 1 เปลี่ยนเป็นวันที่ 31 ธันวาคม สิ้นปีพอดี เนื่องจากสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ 55 พอแพ็คกระเป๋าเสร็จก็รีบออกเดินทางทันที ประมาณ 09:00น. Go strage on เป้าหมายคือบ้านเพื่อนที่วังน้ำเขียว ในใจคิดว่าคนที่เดินทางส่วนใหญ่น่าจะเป็นขาลงที่เข้าสู่ต่างจังหวัดไปทางภาคอีสานมากกว่า จริงอย่างที่คิดครับคนเต็ม บขส.ครับพี่น้อง แต่เราไม่กลัวอยู่แล้วครับ ก็เราจะไปทางกรุงเทพฯนี่หว่า รถมันต้องว่างอยู่แล้ว จริงมั้ย 55 ที่ไหนได้ครับพี่น้องตลอดสองชั่วโมงเต็มที่เดินทางยืนตลอดเบียดกันสุดๆครับ เพราะว่าคนที่จะเดินทางไปทางกทม.มีน้อยทางบริษัทขนส่งจึงจัดให้เราขึ้นรถคันเดียวกันเลย จากที่ว่าน้อยๆ มันก็กลายเป็นแน่นเต็มคันรถ เอากะมันสิ แต่ไม่เป็นไรครับแค่สองชั่วโมง เล็กน้อย ๆ ในที่สุดเวลาประมาณ 11:20 น.ก็ถึง 7'11ที่ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง กะว่าจะต่อรถไปวังน้ำเขียวเลย ดันนึกถึงเพื่อนอีกคนขึ้นมาได้ จะไปคนเดียวก็กลัวไม่มัน เดี๋ยววงเหล้าคนจะน้อย อิอิ โทรชวนมันซะหน่อยดีกว่า ยังไงก็เผื่อจะได้มีเพื่อนคุยระหว่างเดินทางด้วย
พอเพื่อนมารับมันดันชวนไปกินเหล้าบ้านมันก่อนซะงั้นไอ้เราก็จะบ่นเพื่อนก็เกรงใจ (คนดีของสังคมอยู่แล้ว อิอิ)เลยเออออไปกับมันซะงั้น เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า จากสาย กลายเป็นบ่าย จากบ่ายกลายเป็นเย็น จากเย็นกลายเป็นค่ำ สรุปพอค่ำมันชวนไปเที่ยวในไร่มันต่อ (เฮอะๆ ตูจะไปวังน้ำเขียวๆๆ)เสร็จมันจนได้ แต่ไม่ว่ากันอยู่แล้วไปไหนไปกันครับพี่น้อง เข้าไร่มันดีมากๆๆไหว้พ่อแม่ญาติพี่น้องมันเสร็จ แม่มันทำขนมจีนน้ำยาเลี้ยง อร่อยมากๆๆๆ (วังน้ำเขียวหายไปจากสมองทันทีครับพี่น้อง)นั่งในไร่มันไม่นานนักก็พากันบอกลาพ่อแม่พี่น้องเพื่อนออกจากไรเดินทางเข้าเมืองอีกครั้ง (เมืองปากช่องนะ อิอิ)
เนื่องจากวันนี้เพื่อนมันบอกว่า ที่บริเวณเขาแคน จะมี"งานคาวบอยปากช่อง" ซึ่งเค้าจะมีการ Count dawn ที่นี่ด้วย อารมณ์อยากไปกระโดดมาอีกแล้วครับ มันถามว่าจะไปมั้ยวะ? ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยครับ ไปอยู่แล้ว เขาแคนที่ว่าก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านมันเท่าไหร่นัก ใครที่ผ่านไปทางกรุงเทพฯคงสังเกตเห็นได้ไม่ยากเย็นนัก บรรยากาศภายในงานเป็นการปิดถนน มีลานเบียร์ยาวมากๆข้างหน้ามีเวทีสำหรับการแสดงคอนเสิร์ต ด้านหลังของงานบริเวณทางเข้าจะมีการออกบูตเปิดร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับคาวบอย มีเกมยิงธนูให้ทดลองยิงเป้าจริงๆ ผมไปยืนดูสาวๆยิงธนูมา น่ารักมากๆเลย อิอิ แล้วยังมีการแสดงโชว์ขี่ม้าให้ผู้ที่สนใจได้ดูอีกด้วย
ผมและเพื่อนแล้วก็พี่น้องมันไปด้วยกันประมาณ 6 คน หาที่นั่งแทบไม่มี คนเยอะมากๆ หันซ้ายแลขวาไปเจอรูปปั้นช้างพอที่จะมีที่นั่งอยู่บ้าง เอาวะนั่งมันตรงนี้แหละ ข้างๆเป็นร้านขายอาหารปิ้งย่างเดินไปซื้อมาเป็นกลับแกล้มซะหน่อย พอมองหน้าแม่ค้า อ้าวเฮ้ย! เพื่อนเรานี่หว่า มาได้ไงวะเนี่ย? สาวราชภัฏ น่ารักมากๆแต่งตัวเป็นคาวเกิร์ล มาขายลูกชิ้นปิ้งในงานคาวบอยปากช่อง น่ารักมากมาย ชอบๆๆ
พอใกล้เวลาเที่ยงคืนพิธีกรบนเวทีก็บอกให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนเตรียมตัว Count dawn พร้อมกัน ผมสังเกตได้ว่าบรรยากาศที่คึกคักภายในงานที่ตอนแรกคึกคักเสียงดังมากๆกลับเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด 10.9.8.7.6.5.4.3.2..1 เฮ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงดังมากๆ พลุไฟถูกจุดบนเขาแคน เราอยู่ข้างล่าง มองไปข้างบนสวยมากจริงๆ ไม่ได้เวอร์นะครับ ใครมีประสบการณ์แบบนี้คงรู้ดีว่ามันน่าประทับใจแค่ไหน นั่งดื่มเบียร์สดๆกับเพื่อนๆ บรรยากาศยังกะงานบอลโลกนัดชิง มีพลุไฟจุดตอนเฉลิมฉลอง ใครจะไม่มีความสุขบ้างครับจริงมั้ย?
พองานเลิกเราทั้งหมดก็กลับบ้านไปกินต่อกัน แน่นอนครับเกือบสว่างครับพี่น้อง 55+ ปีเก่าผ่านไปปีใหม่ผ่านมา สุขหรรษาเฮฮาตลอดคืน จริงๆ
สรุปแล้ววันที่ 31 ธ.ค.51 ผมก็ยังไปไม่ถึงวังน้ำเขียวจนได้ 55+ ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวคราวหน้าเราค่อยมาต่อกัน กิจกรรมที่ผมไปเที่ยวที่วังน้ำเขียวเลยจะมีอะไรบ้าง จะเหมือนกับที่ผมคิดไว้ก่อนเดินทางรึเปล่า หรือว่าตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกันแน่ 55+
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)