วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ปีใหม่ไปเที่ยวที่ไหนกันดีคร้าาบ

ปีใหม่ไปเที่ยวที่ไหนกันดีคร้าาบ




สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปีใหม่กันแล้วนะครับ ใครมีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างก็แวะมาบอกเล่าเก้าสิบ ให้เพื่อนๆอิจฉากันบ้างนะครับ เผื่อบางคนที่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน อาจจะได้ idia ใหม่ๆขึ้นมาก็ได้
สำหรับผมมีโปรแกรมไปเที่ยววังน้ำเขียวครับ พอดีมีเพื่อนอยู่ที่นั่น หลังจากปีที่แล้วไม่ได้ไป เสียดายมากๆ คราวนี้พลาดไม่ได้ ขอเล่าประสบการณ์ซะหน่อย ครั้งล่าสุดที่ไปมา กิจกรรมก็ประมาณ นั่งก่อกองไฟริมลำน้ำในอุทยาน..(จำชื่อไม่ได้แฮะ).. อยากกระโดดลงน้ำ ก็ทำเลยไม่ต้องเกรงใจใคร(หลับตาก็ไม่มีใครเห็นแล้ว จริงมั้ย อิอิ) ระหว่างทางที่ไปอาจแวะดูกิจการผักปลอดสารพิษ รวมถึงสวนกล้วยไม้ที่ตอนนี้เค้าขยายกิจการออกไปมากกว่าตอนที่ไปครั้งก่อนๆเยอะจริงๆ (แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าครั้งนี้เค้าจะยังเปิดให้เข้าชมรึเปล่า)
ตกค่ำไม่ไต้องไปไหนครับ ก่อกองไฟนั่งเล่นกีตาร์ ดื่มๆๆแล้วก็ดื่มๆๆๆ เอาให้เต็มที่ กางเต็นท์ดูดาวไปด้วย สุดยอดเลยครับพี่น้อง กับแกล้มก็ไม่ยากครับ เริ่มด้วยหมูย่างร้อนๆ กุ้งเผา ปลาหมึกย่าง หลังจากนั้น ถั่วทอด เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน ข้าวเหนียว ข้าวหลาม มีอะไรกินได้หมด เมาแล้ว 55+ (ดีนะบ้านมันไม่มีแมว ฮึ่ม..) ตื่นเช้ามา มองหน้าเพื่อน ไม่ต้องคุยไรกันมากครับ คว้าผ้าขนหนู อุบกรณ์อาบน้ำ เดินดุ่มๆๆ ไปกระโดด บ่อน้ำใกล้ๆบ้านมัน ซึ่งติดถนน ดำผุด ดำว่าย เหมือนสระน้ำเดอะมอลล์โคราชยังไงยังงั้น ซักพักรถประจำทาง(ซึ่งทั้งวันมีอยู่ 2 คันที่วิ่งผ่านบ้านมัน ไปกลับรวม 4 เที่ยว พลาดแล้วพลาดเลย55+)วิ่งผ่านมา คนบนรถมีทั้ง วัยรุ่น เด็กน้อย ผู้ใหญ่ คนเถ่า ทุกสายตาจับจ้องมาที่ ปลาสองตัวที่ว่าย อยู่ในสระ ก็จะไม่ให้หันมามองได้ไงฟ่ะ ก็รถประจำทางมันดันจอดตรงข้ามบ่อน้ำพอดี เจือกรู้จักเพื่อนเราอีก เลยจอดแวะทักทายกันซะงั้น เท่านั้นแหละครับโห่ เสียงแซ่ซ้องดังกันทั้งคันรถ 55+ และแล้วปลา 2 ตัวนั้นก็ดำน้ำอยู่พักนึง หลังจากรถประจำทางไปแล้ว เหตุหารณ์สงบนิ่ง เลยมองหน้ากันอีกรั้ง คราวนี้ ไม่ต้องพูดกันซักแอะ เหมือนเดิม รีบเก็บของขึ้นจากสระว่ายน้ำส่วนตัว รีบเดินเข้าบ้านเลยครับพี่น้อง
กลับมานั่งพักได้ไม่นาน ก็ออกไปเที่ยวต่อ เนื่องจากแถวบ้านมันจะมี รีสอร์ทเล็กๆอยู่ที่นึง ถึงจะไม่ใหญ่มาก แต่บรรยากาศโดยรวมก็สวยดีครับ อยู่ติดเขา มีลำธารที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบธรรมชาติ ไหลผ่านให้คนที่มาพักได้ลองนั่งพายเรือคายักเล่น ผมไม่ได้ลงเล่น เราตัดสินใจไม่ลงเล่นครับเนื่องจาก บ่อน้ำส่วนตัวของเราก็มี เรืออีโปงบ้านเพื่อนก็มี จะเสียตังค์ไมวะ ขี่แมงกะไซด์ออกมาได้ซักพัก ยางรถมันเริ่มออกอาการ แน่นอนครับ รั่วอย่างไม่ต้องสงสัย ก็ถนนบ้านมันยังเป็นหินภูเขาอยู่เลย วันนั้นกว่าจะกลับถึงบ้านมันได้ เล่นเอารั่วไป 2ครั้ง.. นี่ถือว่ายังน้อยนะเว่ย..ดูๆมันพูด เที่ยวอยู่ที่นั่นได้ซักพักผมก็ลาพอกับแม่มันเดินทางกลับโคราชโดยสวัสดิภาพ
เป็นไงครับ น่าสนใจมั้ยครับ ถ้าเราไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดี ลองนึกถึงเพื่อนเก่าๆ ที่เราสนิทแบบมองตาก็รู้ใจดูสิครับ โทรหามันเลยไปลุยบ้านมันซักวันสองวัน สนุก มีความสุข แถมประหยัดอีกด้วย55 หลังจากเติมพลังให้ชีวิตแล้ว ก็กลับมาลุยงานในชีวิตประจำวันของเราต่อ ผมว่ามันก็เจ๋งดีนะครับ
ปีใหม่ที่จะถึงนี้ ผมขอให้พี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน รวมถึงผู้ที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมบล็อกนี้ มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยเงินทอง สอบได้เกรด A ทุกคน สมหวังในทุกสิ่ง HAPPY NEW YEAR 2009 ครับ
PS.ใครยังไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ถ้าไม่รังเกียจก็ไปด้วยกันได้นะครับ เดินทางไปวันที่ 1 กลับวันที่ 3 ครับ มีเต็นท์ บ้าน สระน้ำส่วนตัว(อิอิ)ทุกอย่างฟรีครับ ยกเว้น Option อื่นๆ ไปด้วยกันป้าวววววว???
PS.2 ถ้ากลับมาเร็วจะไปเที่ยวไร่พี่อ้นต่อ ให้มันรู้กันไปเล้ย 55+

กำหนดการสอบวัดความรู้ความสามารถภาษาอังกฤษ ปี 52

สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8 ทุกท่าน




ผมมีข่าวมาแจ้งเรื่องกำหนดการสอบวัดความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษ ของคณะมนุษศาสตร์ ม.ขอนแก่น มาแจ้งแก่พี่น้องท่านที่ยังไม่ผ่านการสอบวัดความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษ(เหมือนผม อิอิ)หรือยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียน ในปี 2552 เผื่อว่าเราจะได้มีเวลาเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆครับ

การสอบครั้งที่ 1
ระยะเวลารับสมัคร 2-23 ก.พ. 52
สอบวันเสาร์ ที่ 7 มี.ค. 52
ประกาศผลวัน จันทร์ ที่ 23 มี.ค. 52

การสอบครั้งที่ 2
ระยะเวลารับสมัคร 1-25 พ.ค. 52
สอบวันเสาร์ ที่ 6 มิ.ย. 52
ประกาศผลวัน จันทร์ ที่ 22 มิ.ย. 52

การสอบครั้งที่ 3
ระยะเวลารับสมัคร 3-21 ก.ค. 52
สอบวันเสาร์ ที่ 30 ส.ค. 52
ประกาศผลวัน จันทร์ ที่ 14 ก.ย. 52

การสอบครั้งที่ 4
ระยะเวลารับสมัคร 2-20 พ.ย. 52
สอบวันเสาร์ ที่ 5 ธ.ค. 52
ประกาศผลวัน จันทร์ ที่ 21 ธ.ค. 52

สำหรับพี่น้องที่ลงเรียนวิชานี้แล้วก็ไม่ว่ากันครับ แต่ใครยังไม่ลง ผมคิดว่าน่าจะลองสอบดูก่อนนะครับ เผื่อจะฟรุ๊คก็ได้นา ใครจะไปรู้ อิอิ อย่างน้อยก็ได้เลือกกิ่งไม้ที่สูงกว่า หากพลาดตกลงมาก็ยังมีกิ่งข้างล่างรองรับ จริงมั้ยครับ

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทำไมราคาน้ำมันของไทยต้องอ้างอิงจากราคาสิงคโปร์

ทำไมราคาน้ำมันของไทยต้องอ้างอิงจากราคาสิงคโปร์
สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8 ทุกท่าน
เคยสงสัยกันมั้ยครับว่าบางครั้งเวลาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันของไทยก็ขยับสูงขึ้นตาม บางครั้งราคาน้ำมันในตลาดสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ราคาฯที่บ้านเราจึงไม่ขยับตามทั้งที่แนวโน้มก็น่าจะสูงตามไปด้วย เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดในโลก แต่พอราคาที่ตลาดสิงคโปร์เคลื่อนไหวทีไร ไม่ว่าราคาจะสูงขชึ้นหรือลงก็ตาม ราคาฯในประเทศไทยก็ต้องขยับตามในทิศทางเดียวกัน
ท่านใดที่มีความรู้ รบกวนช่วยมาไขข้อข้องใจให้กระจ่างด้วยคร้าาาาาบ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ประกาาศด่วนนนน!!!!_2

ประกาาศด่วนนนน!!!!_2
สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน มีข่าวด่วนจากอาจารย์์สุรชัยครับ
ในวันเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 51 ที่จะถึงนี้ เนื่องจากอาจารย์สุเมธงดสอน ดังนั้นในช่วงบ่ายอาจารย์สุรชัยจึงประกาศงดสอนเช่นเดียวกันครับผม
เพราะฉะนั้นวิชาการสอบ Midterm ของอาจารย์สุรชัยจึงสอบตั้งแต่บทที่ 1-7 เหมือนเดิมนะครับ
ที่มา : เจ๊ต้อง TA อาจารย์สุรชัย
อ้างอิง : อาจารย์สุรชัย

ประกาาศด่วนนนน!!!!

ประกาาศด่วนนนน!!!!
สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน มีข่าวด่วนจากอาจารย์์สุเมธครับ
ในวันเสาร์ที่ 20 ธ.ค. 51 ที่จะถึงนี้ อาจารย์งดสอนครับผม แต่ยังไม่ทราบว่าอาจารย์สุรชัยที่จะสอนเราตอนบ่ายนั้นจะงดสอนด้วยรึเปล่านะครับ แต่ถ้าผมได้รับข่าวแล้วจะลงประกาศให้พวกเราทราบกัันโดดยเร็วที่สุดนะครับ ยังไงขอให้ช่วยกันติดตามข่าวสารด้วยนะครับ

ที่มา : พี่หนุ่ม(บ้านไผ่ TA อาจารย์สุเมธ)
อ้างอิง : อาจารย์สุเมธ

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ขอเชิญร่วมกันทำบุญปีใหม่ครับ

ขอเชิญร่วมกันทำบุญปีใหม่ครับ
สวัสดีครับเมื่อซักครู่ผมได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับหนึ่งเชิญชวนให้พวกเราทำบุญให้แก่ วัดพระบาทน้ำพุ ผมลองทำตามวิธีในเมล์นี้แล้วเห็นว่าน่าเชื่อถือ และเป็นเงินเพียงไม่กี่บาท จึงนำเนื้อความในเมล์ดังกล่าวมาให้อ่่านกันครับ เผื่อว่าท่านใดยังไม่ได้รับ แล้วอยากร่วมทำบุญด้วยกัน ถือซะว่าทำบุญส่งท้ายปีเก่าก็แล้วกันนะครับ ท่านใดที่ได้รับเมล์ดังกล่าวแล้วก็ขออภัยด้วยนะครับ


ทุกท่านครับ ผมได้ทดลองแล้วครับใช่ได้.. เงินแค่ 9 บาท ครับ
ทุกคนในนี้มีมือถือใช่ไหมคะ
ขอซัก 9 บาทได้ไหม เพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่ว่ามือถือคุณจะเครื่องละพัน หรือเครื่องละหมื่น
ขอแค่ 9 บาท บริจาคให้วัดพระพุทธบาตรน้ำพุ
ง่ายๆ แค่กด 1900-222-200 และกด 1 แค่นี้ คุณก็ได้ร่วมทำบุญแล้วค่ะ เรื่องจริง โทรไปเช็คที่วัดแล้ว)
ขอบคุณสำหรับทุกสายทานบารมีค่ะ
อนุโมทนา ด้วยนะคะ อีกไม่เกิน 3 เดือนวัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง ช่วย Forward ต่อด้วย

อีกไม่เกิน 3 เดือนวัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง!! ถ้าไม่ อ่าน กรุณา Forward
ถ้าไม่ช่วย อีกไม่ เกิน 3 เดือน วัดพระบาทน้ำพุ ต้องปิดลง ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่มีหลวงพ่ออลงกตเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้อุทิศตัวช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และเด็กกำพร้ามาสิบกว่าปี แล้ว ทั้งๆที่ท่านมีพร้อม ทุกอย่าง จบการ ศึกษาระดับปริญญาโทวิศวะจากออสเตรเลีย แต่ท่านก็เสียสละ ได้ เพียงเพราะท่านเห็น ว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นไร้ที่พึ่ง จริงๆ ขนาดบางคนพอพ่อแม่รู้ว่าติดเชื้อ เอดส์ ยังรังเกียจและทอดทิ้งลูกของตัว เองได้เลย หลวงพ่อท่านเห็นว่า ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเขาเหล่า นี้ ท่านก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็น มนุษย์ได้ ทุก วันนี้ ที่วัดมีผู้ป่วยและเด็กกำพร้าที่ หลวงพ่อต้องคอยดูแลรวมถึงพนักงานและอาสาสมัครราวหนึ่งพันคน ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ สามล้าน กว่าบาท แต่ยอดบริจาคกลับน้อยลง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เห็นว่า ลดลงเหลือเพียงเดือนละสองแสนบาทเอง ส่วนรัฐบาลก็ช่วยเหลือเพียงเดือนละหนึ่งแสนบาทเท่า นั้น เคยโทรไปถามที่วัด เกี่ยวกับสถานะทางารเงิน พนักงานก็บอกว่า รายรับเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน ค่ายารักษาหรือเพิ่มภูมิต้านทานก็ แสนจะแพง แถมผู้ป่วยก็มีแต่จะเพิ่มมาก ขึ้น ทางวัดจะไม่รับก็ไม่ ได้ เนื่ อ งจากมีคนพาผู้บ่วยมาทิ้งไว้ที่ หน้าประตูวัดเสมอ ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีทางไป ที่วัดก็เมตตาช่วยเหลือแม้กระทั่งคน ชราและเด็กที่คนใน ค รอบครัวเสียชีวิต เพราะเอดส์แล้วไม่มีใครดูแล ตอนนี้ต้องมีการส่ง ผู้ป่วยที่อาการดีแล้วและพอมีฐานะกลับบ้านบ้าง แล้ว และอีกสามเดือนอาจต้องปิดตัว ลง!!!!!!
หลวงพ่อเองต้องลงมาบิณฑบาตรที่ กรุงเทพฯทุกสัปดาห์ ต้องไปหลายที่ต่อ หนึ่งวัน เพราะรอนไปช่วยเหลือถึงวัด ไม่ไหว เห็นแล้วก็เหนื่อยแทน จริงๆ เมืองไทยมีผู้ติดชื้อเอดส์มาก เป็นอันดับสี่ของโลกแล้ว และแนวโน้มก็มี มากขึ้นเรื่อยๆ ส ่ วนทางกับอายุของผู้ที่ ติดเชื้อเอดส์ซึ่งกลับกลายเป็นว่าอายุน้อยลง ทุกที อยากให้พวกเราเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของประเทศชาติและ เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน พวกเราสามารถช่วยได้หลายรูปแบบ ขณะนี้หลวงพ่อท่านมารับบริจาคทุกวัน เสาร์ ตั้งแต่ 8.30 น. - 10.00 น. ที่สวน ลุมไนท์บาร์ซาร์ ข้างๆอาคารบีอีซี เท โร สามารถบริจาคเป็นเงิน (ดีที่สุด) , ยา , ผ้าอ้อม , สำลี , ของอุปโภคบริโภคต่างๆ , หนังสือ , เสื้อผ้า ฯลฯ หรือบริจาคผ่านธนาคาร ให้กับ ' กองทุนอาทรประชานาถ ถ้าสามารถทำเป็นรายเดือนได้จะดีมาก ราย ละเอียดของเบอร์บัญชีมีดังนี้
ธ.กรุงเทพฯ สาขา ลพบุรี 289-0-84697-1
ธ.ทหารไทย สาขา ลพบุรี 304-2-41277-9
ธ.กสิกรไทย สาขา ถนนสุรสงคราม 174-2-39000-
ธ.ไทย พาณิชย์ สาขาลพบุรี 579-2-33730- 7
ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขา ลพบุรี 111-1-47300-7
ธ.นครหลวง ไทย สาขาลพบุรี 340-2-14976- 0
ธ.เพื่อการเก ษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขานางเลิ้ง 000-2-12022-0
และสุดท้ายที่พวกเราสามารถช่วย ได้เดี๋ยวนี้ คือ การบอกต่อถึงเรื่องนี้ และช่วยส่งเมล์นี้ไปให้คนที่รู้จักทกๆ คน

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กลยุทธ์SEO คืออะไร ?

SEO คืออะไร ?
จะดีแค่ไหนถ้าเว็บคุณได้อยู่ในลำดับที่ 1 ของผลการค้นหาผ่าน Search Engine ด้วย Keyword ที่คุณกำหนดไว้และตรงกับสินค้าและบริการของคุณ
จะดีแค่ไหนถ้าการขายสินค้าและบริการของคุณลดต้นทุนด้านการโฆษณามากถึง 80% แต่กลับทำให้การขายสินค้าคุณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จะดีแค่ไหนถ้ามีคนเข้าเว็บของคุณวัน 1,000,000 คนจากทั่วโลกโดยคุณไม่เสียค่าโฆษณาเลยแม้แต่บาทเดียว ฯลฯ

ก็ได้มีโอกาสค้นหา Keyword ต่าง ๆ ผ่าน Search Engine ต่าง ๆ ด้วยชื่อสินค้าและบริการต่างๆ มากมาย ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจริง ๆ เนื้อหาเรื่องนี้เรายังไม่ได้เขียนเลยนี่นา จะเป็นการดีถ้าเราจะนำมาเขียนให้ผู้ที่แวะเวียนเข้ามาได้อ่านกันเพื่อเป็นความรู้ และ สามารถนำไปใช้กับเว็บไซต์และองค์กรที่ต้องการทธุรกิจด้าน Internet Marketing หรือ ธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเมืองไทยเราเริ่มเข้าสู่ยุคนี้กันแล้ว ครับก็พูดมากไปไม่ดี เรามาเริ่มทำความรู้จักเจ้า SEO กันเลยดีกว่าครับ.

SEO มาจากคำว่า “Search Engine Optimization” ?หมายถึง กระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์ หรือ ชื่อเว็บไซต์ ปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของผลการค้นหาผ่าน Search Engine ด้วย Search Keyword ที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจ ข้อมูล เนื้อหา บทความ สินค้าและบริการ ที่นำเสนอผ่านเว็บไซต์ของเรา โดยรักษาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ (ปกติจะพยายามทำให้อยู่ในหน้าแรกของการค้นหา)

ทำ SEO ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ?
คำตอบก็คือ การทำ SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดลำดับโดย Search Engine แต่ถ้าค่าใช้จ่ายสำหรับการจ้างเจ้าหน้าที่ หรือ ผู้เชี่ยวชาญนั้นในการทำ SEO นั้นต้องเสียแน่นอนครับ แล้วแต่ว่าจะมากน้อยเพียงใดตามข้อตกลง ถึงแม้คุณจะอยู่ในลำดับที่ 1 ในหน้าแรกก็ตาม แต่การทำ SEO นั้นจะต้องใช้ทักษะความรู้ ตลอดจนระยะเวลาในการทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับในหน้าแรก (โดยปกติหากมีทักษะอยู่แล้วไม่เกิน 6 เดือน)

ทำไมเราต้องทำ SEO ?
คำถามนี้อาจฟังดูแล้วธรรมดา แต่ในความรู้สึกผม ผมว่ามันไม่ธรรมดา การทำ SEO ต้องอาศัยทั้งทักษะและประสบการณ์มากมาย กับกฏเกณฑ์ที่ไม่ตายตัวของแต่ละ Search Engine อีกด้วย ถามว่าทำไมเราต้องทำ SEO ด้วยหละ ผมจะขอตอบแบบที่เข้าใจกันง่าย ๆ ก็แล้วกันครับ เพื่อจะได้เข้าใจตรงกันตามประเด็นนี้มากขึ้น

1. เพื่อให้เว็บไซต์ของเราได้รับการจัดลำดับ ในอันดับที่ดีขึ้น (ยิ่งเป็นอันดับที่ 1 ใน Keyword นั้น ๆ ด้วยยิ่งดี)
2. เพื่อให้มีคนได้มีโอกาสเข้าเว็บเรามากขึ้นโดยการคลิกที่ลิงค์จากการค้นหาผ่าน Search Engine
3. เพื่อเป็นการประหยัดค่าโฆษณาเว็บไซต์ของเรา ที่ไปติดโฆษณาในที่ต่าง ๆ
4. เพื่อทำให้เว็บไซต์เราสามารถขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น (อันนี้เหมาะกับเว็บ e-Commerce และ e-Marketing ต่าง ๆ )
5. เพราะการค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine มีคนใช้ถึง 81% เราต้องทำให้คนรู้จักเราให้ได้มากที่สุด
6. การทำ SEO เป็นการประหยัดเวลาระยะยาว (แต่ใช้เวลาทำนานไม่น้อยกว่า 6 เดือน)
7. ถ้าคุณติดลำดับต้น ๆ ในหน้าแรกแล้วจะทำให้เกิดการคลิกและเข้าเว็บเรามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
8. เพื่อเป็นการพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้เกิดการใช้งานโดยผู้ใช้ ไม่ใช่แค่เรากับเพื่อนเรา
9. เหตุผลอื่น ๆ ที่คุณอยากให้เว็บคุณเป็น

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้นมีผลดีโดยรวมทั้งสิ้น ถึงแม้จะใช้เวลาในการพัฒนานานก็ตาม แต่ผลตามมาคุ้มค่ามาก เพราะหากคุณได้รับการ Index ในหน้าแรกของการค้นหาผ่าน Search Engine แล้วหละก็ผลดีดีต่าง ๆ จะตามมาหลาย ๆ อย่าง และอีกประการการทำ SEO นั้นมีผลดีในระยะยาว (แต่คุณต้องไม่ใช้วิชามารในการทำ SEO หนะครับเพราะถ้าทำอย่างนั้นไม่นาน Search Engine ต่าง ๆ จะเริ่มแบนคุณภายในไม่เกิน 1 ปีอย่างแน่นอน)

ข้อสำคัญอีกประการสำหรับการทำ SEO ถ้าคุณติดลำดับในหน้าแรกหรือหน้าที่สองแล้ว พยายามรักษาลำดับนั้น ๆ ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะนั่นคือ ลำดับที่ดีที่สุดสำหรับเว็บของคุณแล้วครับในเบื้องต้น

ที่มา : MAKEMANY.COM

จับตากลยุทธ์ Email marketing

EMail Marketing คืออะไร? แล้วจะได้อะไร? ที่นี่มีคำตอบ

EMail Marketing คืออะไร?


Email marketingเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดแบบออนไลน์ ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแบบไดเร็กเมล์ในรูปแบบของ
อีเมล์นั่นเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการประชาสัมพันธ์, โฆษณา, หรือเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสาร ให้กับกลุ่มเป้าหมายในรูป
แบบข้อมูลแบบ text หรือ html โดยผู้ส่งจะส่งข้อมูลเหล่านั้น ไปยังที่อยู่อีเมล์ของผู้รับเป้าหมาย อาจจะส่งครั้งละ จำนวน
น้อยๆ ถึงคราวละมากๆ สำหรับในประเทศไทยแล้วมีแนวโน้มการใช ้ email marketing เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะ ว่า ถูก
สะดวก และรวดเร็ว ตรงกลุ่มเป้าหมาย และยังมีผลตอบรับค่อนข้างเร็วอีกด้วย มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ


1. การทำ email marketing โดยวิธีการส่ง อีเมล์คราวละมากๆด้วยโปรแกรมส่งอีเมล์

กลุ่มนี้ จะซื้อรายชื่ออีเมล์ หรือดูดอีเมล์มาจากตามเวปบอร์ด หรือเวปไซต์ต่างๆ และทำการส่งข้อความที่ต้องการส่งอีเมล์
ที่แถมมา หรือที่หามาได้ วิธีนี้โดยส่วนใหญ่อีเมล์ของคุณจะเป็น SPAM เกือบทั้งหมด ซึ่งเมื่อส่งไปแล้วมักจะเข้าไปอยู่ที่ JUNK MAIL BOX หมด หรือเมื่อคุณทำการตั้งค่า pop3 หรือ smtp ในการส่งผ่าน webhosting ที่คุณใช้บริการอยู่คุณก็อาจจะทำให้ mail server ของผู้ให้บริการล่มได้ จนทำให้ webhosting ที่คุณใช้บริการปิดหรือยกเลิกบริการของคุณโดยทันที ก่อให้เกิดความเสียหายแก่คุณได้ในเวลาต่อมา ทำให้โอกาสในการทำการตลาดของคุณลดลง กลุ่มนี้มีค่อนข้างเยอะเหมือนกันนะครับสำหรับประเทศไทย ถูกจริงแต่ไม่คุ้มค่าและไม่เหมาะสมอีกด้วย วิธีนี้ไม่ขอแนะนำเท่าไหร่นะครับ

2.การทำ email marketing ผ่านผู้ให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ


ซึ่งข้อความของคุณจะถูกส่งด้วย mail server ของผู้ให้บริการซึ่งผ่านระบบ email filters แล้วก่อนที่จะถูกส่งไปข้อความโดยส่วนใหญ่จะเข้าไปอยู่ที่ INBOX เพิ่มโอกาสในการเปิดอ่านจากผู้รับ ทำให้เพิ่มโอกาสในทางธุรกิจของคุณ ย่นระยะเวลาในการจัดการ ซึ่งคุณสามารถทำรายการทั้งหมด ผ่านหน้าเวปไซต์ของผู้ให้บริการได้ทั้งหมด *วิธีนี้ขอแนะนำนะครับ


ประโยชน์ของ Email marketing


ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับสื่อต่างๆ เช่น การโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ,วารสาร, หรือตามเวปไซต์ต่างๆ
กำหนดและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้อย่างมั่นใจ (CRM)
มีผลตอบสนองค่อนข้างรวดเร็วซึ่งเพิ่มโอกาสในทางธุรกิจของคุณ
สามารถนำเสนอรายการสินค้า หรือรูปแบบทั้งในรูปแบบ text และ html
สามารถขยายตลาดของบริษัทหรือธุรกิจให้ครอบคลุม ทั้งในประเทศและทั่วโลก ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ปัจจุบัน Email Marketing เป็นเครื่องมื่อทางการตลาดที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากประสิทธิภาพสูง รวดเร็วและเข้าถึงตัวลูกค้าได้โดยตรงแล้วยังประหยัดกว่าสื่อโฆษณารูปแบบ อื่นๆจากการสำรวจของ Shop.org/Bizrate Survey พบว่าผู้ที่ใช้ Email Marketing (ได้ผล 86%) ทำตลาดประสบผลสำเร็จมากกว่า ใช้ Search Engine (ได้ผล 58%)

ิที่มา : sanook.com

Internet Marketing คืออะไร?

Internet Marketing คืออะไร?
... หมายถึงการบริหารจัดการด้านการตลาดให้กับเว็บไซต์ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพิ่มความนิยม การโปรโมทเว็บไซต์ ตลอดจนการสร้างโมดูลทางทางธุรกิจให้กับเว็บไซต์ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประกอบการหรือรายได้ที่มากขึ้น

Internet Marketing มีความสำคัญอย่างไร?
... หากท่านมีเว็บไซต์ของท่านเพื่อธุรกิจใดๆ ก็เปรียบเสมือนการมีร้านค้าของท่านอยู่บนโลกของอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการตลาดให้กับเว็บไซต์เพื่อต่อสู้กับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน ผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านการตลาดด้วยอินเตอร์เน็ตจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประกอบการที่สูงมากจากการลงทุนที่น้อยนิด
... การทำการตลาดผ่านอินเตอร์เน็ตจะเป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุด แต่ให้ผลกำไรตอบแทนที่สูงที่สุด ในระบบการทำตลาดทุกประเภท เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรง ใช้ระยะเวลาน้อย สะดวกสบาย และเป็นกระแสที่นิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน

Internet Marketing มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

... สามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของเว็บได้ 2 ประเภทคือ

การหารายได้ผ่านเว็บ คือการใช้เว็บไซต์ในการหารายได้จากผู้เยี่ยมชมหรือผู้โฆษณา ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เป็น web service ที่เก็บค่าบริการจากสมาชิก เป็นเว็บ shopping ที่ทำการขายสินค้าและบริการผ่านเว็บ เป็นเว็บ variety ที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารแก่ผู้เยี่ยมชมฟรี แล้วขายพื้นที่ติดแบนเนอร์บนเว็บไซต์ เป็นต้น
การประชาสัมพันธ์เว็บ คือการทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักแก่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุดด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการติดแบนเนอร์ตามเว็บที่เป็นที่นิยม การ submit site การโพสโฆษณา การส่งอีเมล์ เป็นต้น

Internet Marketing มีวิธีการอย่างไรบ้าง?
... การทำการตลาดผ่านระบบอินเตอร์เน็ตนั้น มีหลายวิธี ท่านสามารถนำมาใช้กับเว็บไซต์ของท่านได้กี่วิธีก็ได้ตามความเหมาะสม อาทิ เช่น

ฺBanner Marketing คือการทำการตลาดผ่านระบบแบนเนอร์ โดยค้นหาเว็บที่เป็นที่นิยมของกลุ่มลูกค้าของเรา และขายพื้นที่โฆษณา จากนั้นก็ทำการซื้อพื้นที่โฆษณา แล้วคอยติดตามและวิเคราะห์ผลจากการติดป้ายที่เว็บไซต์นั้นๆ
...ในทางกลับกันหากเว็บไซต์ชองเราเป็นที่นิยม ก็สามารถทำการจัดสรรพื้นที่บนเว็บไซต์เพื่อขายโฆษณาได้เช่นกัน
E-mail Marketing คือการโปรโมทเว็บไซต์หรือสินค้าและบริการของท่านผ่านอีเมล์ไปยังกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก เพื่อหวังผลว่าจะมีลูกค้าที่ได้รับอีเมล์เกิดความสนใจสินค้าและบริการของท่าน ซึ่งวิธีนี้แม้จะมีเปอร์เซ็นการให้ความสนใจเพียงน้อยนิด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก ก็จะทำให้ได้จำนวนผู้สนใจสุทธิ์ที่สูงพอสมควร
Search engine marketing ปัจจุบันมีสถิติการใช้อินเตอร์เน็ตที่มากขึ้นหลายเท่าต่อปี และมากกว่า 90% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจะนิยมใช้เว็บไซต์์ search engine ในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ เช่น google, yahoo, msm และมากกว่า 80% ของผู้ใช้งานเว็บ search engine ให้ความสนใจเว็บไซต์ที่จัดอับดับอยู่ที่หน้า 1-3 ดังนั้นการทำตลาดอีกวิธีหนึ่งก็คือการผลักดันเว็บไซต์ของเราให้ติดอันดับแรกๆ ของเว้บไซต์ search engine
Adwords Marketing เว็บไซต์ search engine ชื่อดังรายใหญ่ๆ เช่น google, yahoo, msm จะขายพื้นที่โฆษณาจากคำค้นที่ผู้ใช้ค้นหา โดยจะมีการคิดค่าใช้จ่ายต่อการคลิก หากคำค้นใดๆ มีผู้แข่งขันหลายรายจะมีการจัดตำแหน่งของโฆษณาตามราคาประมูลของผู้แข่งขันแต่ละราย
Adsense Marketing เป็นการหารายได้ให้กับเว็บไซต์โดยนำโฆษณาของเว็บ search engine ที่ให้บริการมาติดไว้ที่เว็บของเรา โดยเว็บไซต์ของเราจะได้รับส่วนแบ่งจากการคลิกป้ายโฆษณาที่ติดอยู่เว็บไซต์เรา

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตัวอย่าง ส่วนประกอบของโครงร่างวิทยานิพนธ์

ตัวอย่างส่วนประกอบของโครงร่างวิทยานิพนธ์
สวัสดีครัพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน

คราวนี้ผมเอาส่วนประกอบของโครงร่างวิทยานิพนธ์ พร้อมทั้งคำแนะนำมาฝากครับ ใช้สำหรับการเขียนโครงร่างคร่าวๆนะครับ เผื่อว่าจะเป็นยประโยชน์แก่พี่น้องคนใดบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ที่จริงก็สามารถค้นหา format thesis หรือ example propersal จาก internet เพิ่มเติมได้ครับ แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลาก็ลองมาดู format thesis ที่ผมโหลดมาฝากคร่าวๆนะครับ (format thesis นี้ไม่ใช่ของ มข.นะครับจึงไม่ใช่รูปแบบที่สามารถใช้อย่างเป็นทางการได้ครับ แต่สามารถใช้เป็นโครงในการเขียน เพื่อเสนอข้อมูลของเราต่ออาจารย์เท่านั้นครับ)

สามารถดาวน์โหลดได้โดยคลิ๊กคำว่า ตัวอย่าง ส่วนประกอบของโครงร่างวิทยานิพนธ์ ได้เลยครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รวมข่าวทุนเรียนฟรีจากทั่วโลก
เปลี่ยนรายจ่ายเป็นรายได้

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ข่าวด่วน!!? จากคณบดีคณะวิทยาการจัดการคร้าาาบ

ข่าวด่วนจากคณบดีคณะวิทยาการจัดการคร้าาาบ

สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน มีข่าวด่วนๆ!!? จากท่านคณบดีคณะวิทยาการจัดการ รองศาสตราจารย์มันทนา สามารถ
เรื่องประกาศรับสมัครผู้สนใจทำงานเก็บข้อมูล จำนวน 3 ท่าน ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน (อาจขยายระยะเวลาตามความเหมาะสม)
พี่น้องท่านใดสนใจ ติดต่อได้โดยตรงที่
คณบดีคณะวิทยาการจัดการ รองศาสตราจารย์มันทนา สามารถ
E-Mail : mansam@kku.ac.th
Tel. : ที่ทำงาน : 043-202401 ต่อ 146
ข้อมูลอื่นๆ http://www.ms.kku.ac.th

ขอบคุณข่าวสารดีๆโดย เพื่อนบอย(นันทพงษ์)

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เชิญร่วมถวายพระพรแด่ในหลวงของเราชาวไทย



เชิญร่วมถวายพระพรแด่ในหลวงของเราชาวไทย

เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมถวายพระพรชัย แด่ "พ่อหลวง"ของพวกเราปวงชนชาวไทย เพื่อแสดงความจงรักภักดีแด่พระองค์ท่านด้วยกันครับ

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตัวอย่างการบ้านวิชาอาจารย์ รส.ดร.สุเมธ แก่นมณี

ตัวอย่างการบ้านวิชาอาจารย์ รส.ดร.สุเมธ แก่นมณี



โอยยตาลายจริงๆครับพี่น้องMBE#8ทุกท่าน
ผมทำการบ้านวิชาอาจารย์สุเมธ เรื่อง Demand equation & Forcasting เสร็จแล้วเมื่อกี๊นี้เองครับ แต่ไฟล์มันเป็น Exell เลยไม่สามารถเอาขึ้นบล็อกนี้ได้ครับ ต้องขออภัยสำหรับเพื่อนเปา น้องอิ๋ม ด้วยครับ
สำหรับพี่น้องท่านใด้ต้องการดูข้อมูลการบ้านของผม เผื่อเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย สามารถฝากเมล์ไว้ได้ที่ "แสดงความคิดเห็น" ได้เลยครับ ผมจะส่งไปให้ตามที่อยู่เมล์ที่โพสต์ไว้เท่านั้นนะครับ (ไม่อยากส่งทั้งหมด เดี๋ยวหาว่าอวดฉลาดครับ)
** ผิดถูกยังไงไม่ทราบนะครับ ลองพิจารณาดูเอาละกันนะครับพี่น้อง
*** พี่น้องท่านใดที่ได้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวของฮ่องกง รายการค่าใช้จ่าย ต่างๆ เบอร์ติดต่ีอ กรุณาส่งเมลบ์มาให้ผมด้วยครับ ผมจะได้ลงไว้ในบล็อกนี้เพื่อที่เราจะได้ช่วยกันพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อไปครับ (เรื่องนี้ขอให้ช่วยกันทุกคนนะครับ)
ขอบคุณมากๆครับ
ติดต่อ : manaw15@hotmail.com
manaw242@gmail.com
nongboy15@gmail.com

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เศรษฐศาสตร์ กับ การตลาด เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

เศรษฐศาสตร์ กับ การตลาด เกี่ยวข้องกันอย่างไร? (Economics and Marketing?)
สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
คราวนี้เราพักเรื่องราวเกี่ยวกับการทำวิทยานิพนธ์ของผมไว้ก่อนดีกว่าครับ เนื่องจากผมไปอ่านเจอบทความหนึ่งซึ่งคิดว่าน่าสนใจมากๆ(สำหรับผม) เพราะเป็นแนวคิดพื้นฐานของคนที่เรียนเกี่ยวกับการตลาดและเศรษฐศาสตร์ ผมคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะจำเป็นต้องรู้ไว้วง่าทั้งเศรษฐศาสตร์ และ การตลาด เกี่ยวข้องกันอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ " ด้วยแล้วยิ่งต้องรู้!
ความเหมือนหรือความแตกต่างของทั้งเศรษฐศาสตร์ กับ การตลาด จะเป็นอย่างไรบ้าง เราลองมาดูกันครับ





เศรษฐศาสตร์ กับ การตลาด เกี่ยวข้องกันอย่างไร? (Economics and Marketing?)

บทนำ

หากจะกล่าวถึงวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึงความต้องการของคนที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดเมื่อเทียบกับทรัพยากรอันจำกัดที่มีอยู่บนโลกแล้วนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กล่าวถึง ความต้องการ หรือ อุปสงค์ (Demand) เนื่องจากความรู้ความเข้าใจในอุปสงค์ เป็นพื้นฐานในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราเข้าใจถึงความต้องการของมนุษย์แล้วนั้น จะสามารถตอบปัญหาพื้นฐานทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ว่า จะผลิตอะไร? ผลิตอย่างไร? และผลิตเพื่อใคร? (What? How? for Whom?) ได้ เพราะเมื่อได้ศึกษาถึงความต้องการของคนแล้วจะสามารถเชื่อมโยงถึงการศึกษาเรื่อง ทฤษฎีการบริโภค ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์นั้น การบริโภคจะขึ้นอยู่กับอรรถประโยชน์ หรือ ความพอใจ (Utility) โดยอธิบายว่าการบริโภคสินค้าในแต่ละหน่วยจะทำให้ความพอใจลดลง ซึ่งความพอใจของแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงต้องศึกษาถึงความต้องการของผู้บริโภคซึ่งมีอยู่หลากหลายรูปแบบด้วยเช่นกัน ส่วน การตลาด นั้น เป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึง กิจกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เพื่อให้เกิดการสนองความต้องการของบุคคลเหล่านั้น โดยผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยน ซึ่งการตลาดนั้นเป็นหน้าที่หนึ่งในการบริหารธุรกิจ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทั้งเศรษฐศาสตร์และการตลาดนั้น เป็นการศึกษาถึงความต้องการและการสนองความต้องการของมนุษย์นั่นเอง

ความต้องการ (Needs, Wants, Demands)

ความต้องการของมนุษย์นั้น เริ่มมีมาตั่งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิต เช่น เด็กแรกเกิดต้องการ นม อาหาร ความรัก ความอบอุ่นจากแม่ จนเมื่อโตไปจนกระทั่งเสียชีวิตไปแล้วก็ยังต้องการพิธีศพที่ใหญ่โต เป็นต้น ความต้องการของคนตอนที่ยังมีชีวิตนั้นมีอยู่หลากหลาย และความต้องการของแต่ละคนก็จะมีไม่เท่ากัน แตกต่างกันไป เช่น ของสิ่งหนึ่งอาจเป็นที่ต้องการของคนกลุ่มหนึ่ง ในขณะที่ของสิ่งนั้นอาจไม่เป็นที่ต้องการของคนอีกกลุ่มหนึ่งเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้นการที่จะเข้าใจถึงลักษณะความต้องการของคนแต่ละคนนั้น เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ และนักการตลาดสนใจ ซึ่งความต้องการสามารถแยกออกเป็นประเภทได้ดังนี้

ความต้องการระดับ Needs

ความต้องการของมนุษย์ในระดับนี้นั้น หมายถึง ความต้องการความจำเป็นขั้นพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น ความต้องการ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่อวนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งถ้ามนุษย์ขาดสิ่งที่จะมาสนองความต้องการระดับนี้ การดำเนินชีวิตอาจสิ้นสุดลง หรือเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงต้องดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการระดับนี้เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด แต่เมื่อมนุษย์ได้รับสิ่งที่มาสนองความต้องการเหล่านี้แล้ว ก็อาจเกิดความต้องการในระดับที่สูงขึ้นไปอีก ซึ่งเรียกว่าเป็นความต้องการระดับ Wants

ความต้องการระดับ Wants

ความต้องการของมนุษย์ในระดับนี้นั้น หมายถึง ความต้องการความที่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่สิ่งที่จะมาสนองความต้องการในระดับนี้ จะมีลักษณะเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งเป็นความต้องการที่เป็นการ อยากได้ มากกว่า จำเป็น เช่น ชื่อเสียง เงินทอง บ้าน รถ สิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจริงๆแล้วถ้ามนุษย์ขาดสิ่งที่จะมาสนองความต้องการระดับนี้ก็ไม่เป็นไรดังนั้น มนุษย์บางกลุ่มจึงต้องดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการระดับนี้ ทำให้ความต้องการในระดับนี้เปลี่ยนแปลงได้บ่อยตามปัจจัยทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อบุคคลแต่ละคน

ความต้องการระดับ อุปสงค์ Demands

ความต้องการในระดับนี้นั้น หมายถึง ความต้องการอีกระดับหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะประกอบด้วยความต้องการแล้วยังต้องมีอำนาจซื้อหนุนหลัง และเจ้าของความต้องการนั้นมีความเต็มใจที่จะจ่ายเงิน หรือกล่าวอีนัยหนึ่งก็คือ ความต้องการซื้อ นั่นเอง ซึ่งไม่ได้หมายถึงความต้องการในระดับ Wants แต่เป็นความต้องการที่มีอำนาจซื้อ (Purchasing Power) กำกับอยู่ด้วย กล่าวคือ ผู้บริโภคจะต้องมีเงินเพียงพอ และต้องมีความเต็มใจ (Ability and Willingness to pay) ที่จะจ่ายซื้อสินค้าและบริการนั้นๆได้ด้วย ซึ่งความต้องการในระดับอุปสงค์นี้ จะก่อให้เกิดการซื้อขายสินค้ากันขึ้นได้ และความต้องการในระดับอุปสงค์นี้ เป็นความต้องการที่ นักเศรษฐศาสตร์ และนักการตลาดสนใจ

ประเภทของ อุปสงค์ (Demands) กับ การตลาด

ความต้องการหรืออุปสงค์ (Demand) มีความหมายเฉพาะในวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งอาจให้คำจำกัดความได้ว่า อุปสงค์สำหรับสินค้า และบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง หมายถึงจำนวนต่างๆของสินค้าและบริการชนิดนั้นที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในระยะเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆกันของสินค้าชนิดนั้น หรือ ณ ระดับรายได้ต่างๆของผู้บริโภค ดังนั้น ความต้องการหรืออุปสงค์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของงานการตลาด และเศรษฐศาสตร์ มุ่งที่จะวัดระดับความต้องการ (ระดับอุปสงค์) หรือความหยืดหยุ่นของอุปสงค์ ในขณะที่นักการตลาดสนใจที่จะแยกประเภทของความต้องการ (อุปสงค์) โดยเห็นความสำคัญว่า ความต้องการที่แฝงอยู่ในตัวคนอาจมีหลายประเภท และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยใช้เครื่องมือทางการตลาด ซึ่งทั้งหมดอาจแยกได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

1) อุปสงค์เป็นลบ (Negative Demand)
หมายถึง ผู้บริโภคมีความสนใจสินค้าเป็นลบ เป็นความต้องการที่ไม่ใช่เพียงแต่ไม่มีความต้องการในสินค้านั้นๆ แต่ความต้องการเป็นลบหมายถึง ผู้บริโภคยินยอมที่จะเสียเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการบริโภคสินค้านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนทั่วไปกลัวการถูกฉีดยา ฉีดวัคซีน กลัวการไปหาหหมอฟัน หรือ กลัวการบริโภคอะไรก็ตามที่จะเกิดผลเสียต่อตนเอง จึงยอมจ่ายเงินเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคสินค้าเหล่านั้น เป็นต้น ดังนั้น นักการตลาดจะต้องแยกแยะว่า เหตุใดตลาดจึงไม่นิยมสินค้านั้น และต้องวางแผนการตลาดเพื่อเปลี่ยนแปลงความเชื่อ หรือทัศนคติของคนเหล่านั้น โดยอาศัยวิธีทางการตลาด ซึ่งอาจอยู่ในรูปของการเปลี่ยนแปลงสินค้า หรือการส่งเสริมการตลาด เช่น เปลี่ยนวัคซีนเป็นแบบรับประทานแทนการฉีด หรือชักชวนให้คนไปตรวจฟันจนเป็นนิสัย เป็นต้น

2) ไม่มีอุปสงค์ (No Demand)
หมายถึง ผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ขาดความสนใจ ไม่สนใจในสินค้า หรือไม่เห็นความแตกต่างของสินค้า ยกตัวอย่างเช่น เกษตรกรไม่สนใจวิธีการเพาะปลูกแบบใหม่ เพราะไม่รู้ว่าให้ผลผลิตสูงกว่าแบบเก่า และต้นทุนลดลงกว่าเดิม หรือ คนไข้ป่วยด้วยโรคปวดศรีษะไม่รู้ว่ามีการรักษาโรคปวดศรีษะโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นการตลาดต้องพยายามหาทางที่จะแสดงผลประโยชน์ของสินค้านั้น ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นการตลาดด้านการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายให้เกิดความสนใจและติดตามในรายละเอียด

3) อุปสงค์แฝง (Latent Demand)
หมายถึง ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่มีต่อสินค้าชนิดหนึ่ง แต่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าหรือบริการบางอย่างนั้นได้ ซึ่งมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ต้องการสินค้าหรือบริการบางอย่างที่ไม่อาจตอบสนองได้ด้วยสินค้าที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น คนที่ไม่มีแฟนต้องการบริษัทจัดหาคู่ที่ดี คนหัวล้านต้องการยาปลูกผมที่ให้ผลรวดเร็ว หรือคนที่เป็นโรคเอดส์ต้องการหาหมอโดยไม่เปิดเผยข้อมูล (คลีนิคนิรนาม) เป็นต้น ดังนั้น งานของนักการตลาดคือ หาทางผลิตสินค้าใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค หรือปรับปรุงแก้ไขสินค้าให้เหมาะกับความต้องการและเผยแพร่ข้อมูลของสินค้าด้วยวิธีที่เหมาะสม

4) อุปสงค์ถดถอย (Falling Demand)
หมายถึง ความต้องการในสินค้าและบริการต่างๆนั้นลดลง ซึ่งเป็นปัญหาที่ธุรกิจหลายๆแห่งต้องประสบกับอุปสงค์ของสินค้าบางตัวหรือหลายตัวลดต่ำลง เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น สินค้าบางตัวเมื่อมีการออกสู่ตลาดใหม่ๆ ก็จะมีความต้องการสูง หรือเป็นไปตามแฟชั่น แต่ระยะเวลาต่อมาคนเริ่มลดความนิยมลงไป หรือ ในปัจจุบันนี้คนเริ่มเข้าวัดน้อยลง จำนวนนักเรียนที่สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนลดน้อยลง เป็นต้น ดังนั้น นักการตลาดต้องวิเคราะห์ถึงสาเหตุแห่งความต้องการที่ลดลงนั้น และปรับปรุงแก้ไขในลักษณะหาตลาดเป้าหมายใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้า หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ดีขึ้นกว่าเดิม

5) อุปสงค์ไม่สม่ำเสมอ (Irregular Demand)
หมายถึง ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามวันเวลา ทำให้มีธุรกิจหลายอย่างที่ประสบกับปัญหาอุปสงค์มีขนาดไม่สม่ำเสมอนี้ ซึ่งความต้องการส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปตามเวลา เช่น วัน ชั่วโมง หรือฤดูกาล ก่อให้เกิดปัญหารการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายอาหารจะขายอาหารได้มากในช่วงเวลาตอนเที่ยง หรือตอนเย็น การจราจรจะติดขัดในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่พักชายทะเลจะมีคนมาจองมากในช่วงฤดูร้อน หรือวันสุดสัปดาห์ วันหยุดเทศการต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นนักการตลาดจะต้องหาทางเปลี่ยนแปลงขนาดของอุปสงค์ตามเวลาให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น โดยใช้เครื่องมือทางการตลาดที่เหมาะสม โดยอาจใช้การส่งเสริมการขาย การประชาสัมพันธ์ เช่นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีคำขวัญที่ว่า "เที่ยวไทยไปได้ทุกเดือน" เป็นต้น

6) อุปสงค์เต็ม (Full Demand)
หมายถึง ความต้องการในสินค้าและบริการของผู้บริโภคนั้น เท่ากับกำลังการผลิตของธุรกิจพอดี ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ และนักการตลาดต้องการ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นดุลยภาพของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ดังนั้น นักการตลาดจะต้องหาทางรักษาระดับของอุปสงค์นี้ให้คงอยู่ตลอดไป เนื่องจากอุปสงค์จะเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะต่างๆ เช่น รสนิยมของผู้บริโภค รายได้ หรือ ภาวะการแข่งขัน เป็นต้น การรักษาระดับอุปสงค์นี้อาจอยู่ในรูปของการรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการ หรือ ปรับปรุงสินค้าและบริการนั้นให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

7) อุปสงค์ล้น (Overfull Demand)
หมายถึง ความต้องการในสินค้าและบริการของผู้บริโภค บางชนิดนั้นมีมากเกินกว่ากำลังการผลิตของธุรกิจ และเป็นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนักการตลาดควรหาทางลดอุปสงค์เหล่านี้ลงอย่างชั่วคราวหรือเป็นการถาวร ซึ่งงานการตลาดในทำนองนี้อาจจะทำได้ไม่ยากนัก ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นราคาสินค้าหรือบริการให้มีราคาที่สูงขึ้น การลดการส่งเสริมการจำหน่าย แต่ควรที่จะเลือกลดอุปสงค์ของตลาดที่ทำกำไรน้อย แต่อย่างไรก็ตาม การลดอุปสงค์ไม่ใช่การทำลายอุปสงค์ แต่เป็นการทำให้ระดับของอุปสงค์นั้นมีขนาดที่พอเหมาะกับธุรกิจที่จะให้บริการได้ เท่านั้น

8) อุปสงค์ไม่พึงปรารถนา (Unwholesome Demand)
หมายถึง ความต้องการสินค้าและบริการของผู้บริโภคกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีความต้องการในสินค้าที่ไม่พึงปรารถนาของสังคมส่วนรวม ดังนั้นหากธุรกิจใดรับผิดชอบอยู่ จะไม่ได้รับการอนุญาตให้ส่งเสริมการบริโภค ยกตัวอย่างเช่น บุหรี่ อาวุธ เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนักการตลาดที่ควรจะส่งเสริมให้ผู้บริโภคลด หรือยกเลิกการบริโภคสินค้าเหล่านี้ โดยการใช้เครื่องมือทางการตลาดต่างๆ เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์กระจายข่าวไปยังกลุ่มผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ควรหาทางขยายธุกิจไปยังกิจการที่ไม่มีปัญหาหรือส่งเสริมสังคมในทางที่ดีขึ้น

ความสำคัญของเศรษฐศาสตร์และการตลาดต่อระบบเศรษฐกิจ

เศรษฐศาสตร์และการตลาด มีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในภาพรวมของระบบเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การผลิต การกระจายสินค้าและการบริโภค ดังนั้นการตลาดมีบทบาทสำคัญในแง่ของการกระจายสินค้า โดยทำให้ผู้บริโภคได้รับอรรถประโยชน์สูงขึ้นในแง่ของผลิตภัณฑ์ สถานที่จำหน่าย เวลา และขนาดของสินค้าที่จำหน่าย นักเศรษฐศาสตร์และนักการตลาดพยายามที่จะทำความเข้าใจ ค้นหา วิจัย เกี่ยวกับความของการและพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงสินค้า ทำให้ผู้บริโภคมีความพอใจมากขึ้นกว่าเดิม และการแข่งขันในเชิงการตลาดนั้นทำให้ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าที่ถูกลงและคุณภาพดีขึ้น และนอกจากจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าแล้วนั้น กิจกรรมทางการตลาดยังเป็นการสร้างงานจำนวนมากให้เกิดขึ้นในกลุ่มประชากรของประเทศ และช่วยลดปัญหาการว่างงานที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจชะงักงันอีกด้วย

ในส่วนของความหมายในแง่ที่เป็นศาสตร์นั้น เศรษฐศาสตร์ และการตลาด เป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์ในทางเศรษฐกิจ โดยเศรษฐศาสตร์ได้ให้ความคิดพื้นฐานแก่การตลาดในหลายเรื่อง เช่น เรื่องของความต้องการของคนที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด เมื่อเทียบกับทรัพยากรที่มีอยู่ในโลก ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ว่า จะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใคร ซึ่งความคิดนี้นักการตลาดได้นำมาเป็นข้อคิดในการผลิตสินค้าเพียงแต่เรียงลำดับความคิดใหม่ว่า จะผลิตสินค้าเพื่อใคร และใครเป็นผู้บริโภค แล้วจึงผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ส่วนในด้านเศรษฐศาสตร์นั้นได้อธิบายการบริโภคทั้งในด้านจุลภาค และมหภาค ในระดับเศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้น การบริโภคจะขึ้นอยู่กับอรรถประโยชน์ หรือความพอใจ โดยการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้นแต่ละหน่วยจะทำให้ความพอใจลดลง ส่วนอีกแนวคิดหนึ่งคือ ความพอใจไม่สามารถวัดออกมาเป็นหน่วยได้ แต่ผู้บริโภคก็สามารถแสวงหาความพอใจสูงสุดได้ จากการบริโภคภายใต้งบประมาณที่มีจำกัดอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้ารายได้เพิ่มหรือราคาสินค้าลดลง ผู้บริโภคก็จะได้รับความพอใจมากขึ้น ส่วนแนวคิดในระดับมหภาค การบริโภคของประเทศจะแปรไปในทางเดียวกับรายได้ประชาชาติ แนวคิดดังกล่าวให้ประโยชน์แก่การตลาดคือ ทราบว่าการบริโภคของคนจะแปรเปลี่ยนไปตามรายได้ ราคาสินค้า และลักษณะสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์ยังให้แนวคิดเกี่ยวกับการคาดคะเนอุปสงค์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตตัดสินใจว่า การลงทุนหรือการขยายกิจการนั้นคุ้มค่าเพียงใดหรือไม่ ลักษณะของตลาดมีผู้ขายกี่คน สภาพของการแข่งขันเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์ยังให้แนวคิดเกี่ยวกับการคาดคะเนอุปสงค์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตตัดสินใจว่า การลงทุนหรือการขยายกิจการนั้นคุ้มค่าเพียงใดหรือไม่ ลักษณะของตลาดมีผู้ขายกี่คน สภาพของการแข่งขันเป็นอย่างไร อำนาจในการกำหนดราคา หรือปริมาณขายมีมากน้อยเพียงใด การคำนวณต้นทุนเพื่อตั้งราคาขาย หรือการขยายกิจการโดยดูจาก ต้นทุนส่วนเพิ่ม และรายรับส่วนเพิ่ม ซึ่งแนวความคิดทั้งหมดนี้ทำให้นักการตลาดได้ความคิดพื้นฐาน เพื่อวางแผนและตัดสินใจในการตลาดต่อไป

ที่มา : "เศรษฐศาสตร์น่ารู้" ส่วนนโยบายการออมและการลงทุนในภาพรวม, สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, กระทรวงการคลัง http://www.fpo.go.th/s-i/Index.php?body=./Source/Data/DataIndex.php&Language=Thai&DBIndex=mysql

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

มาทำวิทยานิพนธ์ด้วยกัน 2

สวัสดีครับพี่น้องMBE#8 ทุกท่าน

หัวข้อวิทยานิพนธ์ : การคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมน้ำมันที่เหมาะสมของสายการบินพานิชย์ในประเทศไทย




หลังจากคราวที่แล้วได้ค้างไว้เกี่ยวกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ของผม ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินที่ผมอยากทำงานในอนาคต ผมพยายามตั้งที่มาของปัญหาโดยมองว่า ปัญหาที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมการบินโดยเฉพาะอย่างยิ่งสายการบินพานิชย์ นั้น จากส่วนหนึ่งของ "Aviation Knowledge" ของการบินไทย กล่าวว่า "การทำธุรกิจการบิน สัดส่วนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดก็คือ ค่าแรงงาน รองลงมาคือ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง (ซึ่งขณะนี้แนวโน้มค่าใช้จ่ายน้ำมันกำลังจะแซงหน้าค่าจ้างแรงงานเข้าทุกขณะ) การจะลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน สายการบินต่างๆก็ต้องคอยระมัดระวังเรื่องการประท้วง หรือนัดหยุดงานของพนักงานที่เกิดขึ้นเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งจะยิ่งทำให้ธุรกิจเสียหายและอาจเป็นปัญหาบานปลายต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ส่วนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงแทบจะไม่มีโอกาสทำให้ลดลงได้เลย นอกเสียจากการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงเพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง สายการบินใดที่สามารถปรับลดค่าใช้จ่ายทั้ง 2 ด้านนี้ได้ก็นับว่าโชคดี" จะเห็นได้ว่าเป็นปัญหาทั้งสองด้านระหว่างผู้ให้บริการคือสายการบิน และผู้รับบริการคือผู้โดยสารหรือลูกค้าที่ต้องการใช้บริการขนส่งสินค้าโดยผ่านทางเครื่องบิน
ปัญหาของสายการบิน คือ เรื่องของต้นทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจซึ่งจะต้องบวกเข้าไปกับราคาที่ให้บริการหรือจำเป็นต้องผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคถ้าจำเป็น (ถึงไม่จำเป็นก็ตาม)ซึ่งก็จะต้องกระทบกับส่วนงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่น ฝ่ายวางแผน ฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเข้าใจ และยอมรับในราคาที่บริษัทกำหนดขึ้น หรือทำอย่างไรให้บริษัทยังสามารถสร้างกำไรให้กับกิจการ และยังสามารถแข่งขันได้
ปัญหาของผู้รับบริการ ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องของราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนดังกล่าวของสายการบิน(ขึ้นแล้วมักไม่ค่อยลงซะด้วย หรือลงก็ลงน้อยกว่าตอนที่ขึ้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ค่าธรรมเนียมน้ำมัน (fuel surcharge)" ที่เกิดขึ้นจากการคิดค่าชดเชยความผันผวนของราคาน้ำมัน จากข้อมูลที่ผมได้ลองศึกษาดู ตรงส่วนนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกระทบ แม้กระทั่งธุรกิจทัวร์ต่างๆ ซึ่งต้องกำหนดไว้ในรายการใบแจ้งค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมน้ำมัน อาจมีการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าได้ ขึ้นอยู่กับสายการบินที่ให้บริการ
ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจให้นำมาศึกษา วิเคราะห์ อธิบาย รวมทั้งหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ ส่วนผมเองสนใจในเรื่องของการคำนวณค่า "fuel surcharge" ที่เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย คือสมเหตุสมผล เหมาะสมกับต้นทุนที่แท้จริงของธุรกิจ และไม่เอารัดเอาเปรียบกับผู้บริโภคจนเกินไป หรือเป็นราคาดุลยภาพในเรื่องของค่า fuel surcharge ระหว่างผู้ให้บริการ กับผู้รับบริการ นั่นเอง

ตัวอย่างแนวคิดหนึ่งก็ เช่น "มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เสนอให้มีการปรับวิธีการคำนวณค่าธรรมเนียมน้ำมันใหม่ ในอัตราก้าวหน้า เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเหมาะสมกับผู้รับบริการ" แต่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องว่ากันอีกทีนึงล่ะครับ บางครั้ง"สิ่งที่ดีและถูกต้อง ก็ใช่ว่าจะได้รับการยอมรับเสมอไป" ไม่งั้นป่านนี้ประเทศไทยคงเป็นประเทศที่เจริญแล้วแน่ๆ (แซวเล่น ๆ)

สุดท้ายหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ผมขึ้นต้นในบทความคราวนี้ ผมขอตั้งแบบกว้างๆไว้ก่อน เนื่องจากผมเชื่อว่าคงต้องมีการปรับเปลี่ยนอีกอย่างแน่นอน เพราะข้อมูลเท่าที่ผมมีตอนนี้ ยังไม่สามารถสรุปให้เสร็จสิ้นในครั้งนี้ได้ แต่ถือว่าเอาพอเป็นแนวทางก่อนละกันนะครับ
ไว้คราวหน้าเรามาลองดูข้อมูลอื่นๆที่น่าจะเป็นประโยชน์กับการทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ของผมกันบ้างนะครับ
ขอบคุณครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaipa.net/mambo/index.php?option=com_content&task=view&id=62&Itemid=36

http://board.dserver.org/l/luegat2/00000958.html ข่าวเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
http://www.aviation.go.th กรมการขนส่งทางอากาศ

สามารถร่วมพูดคุย แบ่งปันกันได้เลยนะครับ "มาทำวิทยานิพนธ์ด้วยกันเถอะครับ"
nongboy15@gmail.com
manaw242@gmail.com
manaw15@hotmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

มาทำวิทยานิพนธ์ด้วยกัน

สวัสดีครับพี่น้องMBE#8 ทุกท่าน
หลายคนคงจะเตรียมคิดหาหัวข้อในการทำวิทยานิพนธ์ หรือการศึกษาอิสระของตัวเองกันแล้วในตอนนี้ ซึ่งความรู้ ความชอบ ความถนัดของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป แต่ก็อยากแนะนำให้เลือกทำเรื่องที่เราคิดว่าเกี่ยวข้องกับงานที่เราอยากจะทำในอนาคตหลังจากที่สำเร็จการศึกษาแล้ว รวมถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆของเรานะครับ เพราะถ้าตัดสินใจลงมือทำไปแล้วเราจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ค่อนข้างยากครับ รวมถึงเสียเวลาที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ด้วย
ส่วนผมเองมีความสนใจในเรื่องของ Economic Marketing Industrial Airline Management จะเห็นว่าขอบเขตของสิ่งที่ผมสนใจมันเยอะมากจนเลือกแทบไม่ถูก อันนั้นดี อันนี้น่าสนใจ อันโน้นกำลังเป็นที่นิยม ตัดสินใจยากมาก! ทำไงดี? คิดไม่ออกจริงๆ
แต่ความฝันในอนาคตของผมอย่างนึงคือ อุตสาหกรรมการบิน ชอบมาก ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน อยากไปเที่ยวต่างประเทศ เป็นความฝันอย่างนึงในชีวิตเลย
ผมได้อ่านหนังสือของคุณ "สมคิด ลวางกูร" ที่มีชื่อว่า " พลิกชีวิต จากหายนะสู่ความสำเร็จ" เป็นเรื่องของคนๆนึงที่พยายามทำความฝันของตัวเองให้เป็นความจริง จนประสบความสำเร็จในที่สุด (ที่จริงก็มีนังสือหลายเล่มเขียนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ความฝันของผมคล้ายกับของคนๆนี้เลยชอบมากเป็นพิเศษ) ในหนังสือมักหยิบยกคำพูดของ"เดล คาร์เนกี้" ที่สำคัญๆหนึงในนั้นคือ
"เดล คาร์เนกี้" กล่าวไว้ว่า "เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดสินใจในยามวิกฤติ ..คราวคับขัน..หรือในยามที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต มีหลักการตัดสินใจง่ายๆคือ กลับมาดูเป้าหมายของตัวเอง เอาเป้าหมายเป็นตัวตั้งแล้วดูว่าวิธีไหน เส้นทางไหน จะทำให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุด สั้นที่สุด ให้เลือกวิธีนั้น แล้วจะประสบความสำเร็จ"
ว่าแล้วผมก็หันมาดูเป้าหมาย หรือความฝันในอนาคตของตัวเองว่า ถามตัวเองว่าอยากทำงานเกี่ยวกับอะไรล่ะ? คำตอบคือ ด้าน Industrial Airline โดยเฉพาะ งานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ วางแผน ในสายการบินพานิชย์
เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมเลือกขอบเขตที่จะทำวิทยานิพนธ์ได้แล้วนั่นคือ อุตสาหกรรมการบิน สายการบิน อะไรที่มันเกี่ยวกับสายการบิน และอยู่ในขอบเขตของเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ที่สำคัญ ความรู้ ข้อมูลต่างๆผมพอจะสามารถหาได้
เอาล่ะครับ คราวต่อไปนี้ผมจะกำหนดหัวข้อในการทำวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องของสายการบิน รวมถึงที่มาและความสำคัญของปัญหาคร่าวๆมาให้ดูกัน
พี่น้องคนใดมีความคิดเห็น หรือข้อมูลดีๆ สามารถร่วมพูดคุย แบ่งปันกันได้เลยนะครับ มาทำวิทยานิพนธ์ด้วยกันเถอะครับ
nongboy15@gmail.com
manaw242@gmail.com
manaw15@hotmail.com

ช่วยๆกันหน่อยนะคร้าบ

สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8 ทุกท่าน

เนื่องจากสองอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้มาเรียนกัน ทำให้พวกเราแทบไม่ได้คุยกันเลย ทั้งเรื่องเรียนแล้วก็เรื่องการไปดูงาน
ดังนั้นในวันเสาร์นี้คือ 22 พ.ย.51 ผมจึงอยากให้พวกเราช่วยกันคิด ช่วยกันให้คำแนะนำ และหาข้อสรุปให้ได้ใน 4 ประเด็น คือ
1. เรื่องสถานที่ไปศึกษาดูงานของพวกเรา ว่ายังต้องไปต่างประเทศกันอยู่อีกหรือไม่ ? หรือคุ้มกว่าในประเทศมั้ย ? อยากให้คุยกันให้ชัดเจนไปเลยครับว่าจะไปดูงาน นอกหรือในประเทศ? แล้วไปที่ไหน? ราคาเท่าไหร่? เป็นไปได้มั้ย? ใครอยากไปไหนก็ช่วยเอาข้อมูลมาให้เพื่อนดูด้วยนะครับ
2. เรื่องการเก็บเงินค่าใช้จ่ายในการไปศึกษาดูงาน จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้เดือนละ 1,000 บาท หรือ 9 เดือน 9,000 บาท ลองมาคุยกันดูนะครับว่าเหมาะสมมั้ย มากไปหรือน้อยไปอย่างไร ถ้ามากไปก็อาจจะมีการเก็บเงินสมาชิกให้น้อยลงมาในระดับที่เหมาะสม เป็นต้น แต่ต้องมีขั้นต่ำในการเก็บนะครับ ไม่งั้นต่อให้รวมกับ 6,000 บาท ที่คณะออกให้แต่ละคน ผมก็ว่ายังไม่พอ หรือถ้าน้อยไปแทนที่เราจะเก็บเงินเพิ่ม เราก็เปลี่ยนมาเป็นเก็บเท่าเดิม แต่หารายได้เพิ่มเข้าห้องดีมั้ย ที่จริงอันนี้เราก็ได้คุยกันตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้ข้อสรุปเช่นกัน
3. กิจกรรมที่จะทำ ถ้าเราต้องการหาเงินเพิ่มเข้ารุ่นเราเพื่อเป็นทุนเพิ่มเติมในการไปศึกษาดูงานของพวกเรา เราจจะจัดกิจกรรมอะไรขึ้ัคคีมารองรับ อันนี้สำคัญมากๆครับ เพราะแสดงให้เราเห็นถึงความสามัคคีของพวกเรา ตัวอย่างกิจกรรมที่เพื่อนๆแนะนำมาก่อนหน้านี้ เช่น พี่อ้น : จัดงานเลี้ยงรุ่น/คืนสู่เหย้า เพื่อขายบัตรในราคาต่างๆที่ดึงดูดใจ หรือ เพื่อนบางคนบอกว่า น่าจะทำเสื้อรุ่นขึ้นมา แล้วให้สมาชิกในห้องช่วยขาย(ไม่ใช่ช่วยกันซื้อนะครับ) ผมก็็ว่าเป็นความคิดที่ดีเช่นกัน
4. เื่รื่องเรียน ตอนนี้หลายคนคงมองหาหัวข้อเรื่องในการทำ Thesis หรือ IS กันบ้างแล้ว เราลองมาคุยกันมั้ยว่าใครสนใจที่จะทำเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันบ้าง เผื่อว่าคนที่ยังไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไร ด้านไหน จะได้มีแนวคิดขึ้นมา หรือเอาข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่มาแลกเปลี่ยนกัน วิธีนี้จะช่วยให้พวกเราสร้างเครือข่ายของรุ่นเราได้ดีมากขึ้นนะครับ

สรุปว่า 3 ข้อแรกให้ความสำคัญมากที่สุดครับ วันเสาร์นี้เอาให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน อย่างน้อย 2 ข้อแรกก็ยังดี เพื่อจะได้แนวทางในการปฏิบัติ ส่วนข้อสุดท้ายก็เป็นความคิดเห็นเพิ่มเติมของผมครับ เห็นด้วยก็เอา ไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่ากันครับ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ... ลีจุนบอย

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แจ้่งข่าวสารการปรับปรุงบล็อก

สวัสดีครับพี่น้องMBE#8 ทุกท่าน
ตอนนี้ผมได้ปรับปรุงบล็อกใหม่แล้วครับ เพื่อให้มีข้อมูลที่เกี่ยวข้อง น่าสนใจ และเป็นประโยชน์กับทุกท่าน สำหรับพี่น้องคนไหนที่กำลังจะเริ่มทำ thesis หรือ IS ตอนนี้ผมอยากใช้เวทีของบล็อกแห่งนี้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือข้อมูลกันนะครับ ใครมีบทความ ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการทำ thesis หรือ IS เช่นหาหัวข้อไม่ได้ ขั้นตอนการทำ ใครมีความรู้ดังกล่าว ก็มาแบ่งปันเพื่อนๆคนอื่นๆได้นะครับ ที่นี่เลย
คือ
1. http://econ8.blogspot.com
ECONOMIC#8 FOR YOU
ยินดีต้อนรับ economizer ทุกท่านครับ บล็อกนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลต่างๆทางด้านเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ การตลาด ข่าวสารบ้านเมืองต่างๆให้แก่ผู้ที่สนใจ รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นต่างๆโดยต้องไม่ผิดกฎหมาย และเป็นประโยชน์ต่อสังคม

2. http://manaw15.blogspot.com

FREE SCHOLARSHIP
เป็นแหล่งรวบรวมเกี่ยวกับข่าวสารทุนการศึกษา จากที่ต่างๆทั่วทุกมุมโลก ทุนอบรม เรียนต่อ ท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศหาได้จากที่นี่เลยครับ

ทั้งสองบล็อกมีข้อมูล ข่าวสาร ตำแหน่งงานราชการอัพเดตที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่ ณ ปัจจุบัน ให้ผู้ที่สนใจไว้เป็นฐานข้อมูลด้วยนะครับ

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ร่วมส่งสมเด็จพระพี่นางฯเสด็จสู่สรวงสวรรคาลัย




สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเราปวงชนชาวไทยทุกคนต้องสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่กับการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ของสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เหลือเพียงคุณงามความดีที่พระองค์ท่านทรงกระทำไว้ให้แก่ปวงชนชาวไทยทุกคนได้ระลึกถึงและเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตน
ผมได้เคยไปดูงานที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 50 เกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาภายในมหาวิทยาลัยและการบริหารงบประมาณ ซึ่งทางคณะทีมงานต้อนรับของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้พาชมสถานที่สำคัญๆหลายแห่งภายในมหาวิทยาลัย เช่น วนาศรม รีสอร์ทเพื่อการพัฒนาสุขภาพและความงาม ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร ภายในศูนย์ที่นอกจากจะแสดงวัฒนธรรมเกี่ยวกับประเทศจีนแล้ว ยังมีการจัดแสดงวีดิทัศน์ในชื่อชุด "แสงหนึ่งคือรุ้งงาม" ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวพระราชประวัติของพระพี่นางฯได้อย่างดีเยี่ยม ตลอดระยะเวลาที่เข้าชมทุกคนในคณะศึกษาดูงานรู้สึกประทับใจ อิ่มเอมใจ และมีครามภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย ผมสังเกตสีหน้าท่าทางของแต่ละคนที่ชมการฉายวีดิทัศน์อย่างตั้งใจเป็นพิเศษยิ่งกว่าจุดประสงค์ในการศึกษาดูงานซะอีก ซึ่งผมเองก็เป็นเหมือนกัน นอกจากการฉายวีดิทัศน์แล้ว ภายนอกห้องหรือภายในบริเวณศูนย์แห่งนี้ยังได้จัดนิทรรศการภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านในอิิริยาบทต่างๆได้ เช่นตอนเสด็จพระราชดำเนินทรงงานตรวจเยี่ยมศูนย์แพทย์ชุมชน ทรงเสด็จไปช่วยเหลือและเยี่ยมเยือนพสกนิกรชาวไทยภูเขา พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งโครงการตามพระราชดำริต่างๆ ฯลฯ ซึ่งผมและคณะศึกษาดูงานยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่นานมาก


ผมเชื่อว่าถ้าหากพี่น้องคนไหนที่ได้ไปศึกษาดูงานที่นี้อย่างผม ก็คงมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากผมอย่างแน่นอน และผมเชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า พระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านได้ทรงเคยทำไว้แก่ปวงชนชาวไทยจะคงอยู่ในใจของพสกนิกรชาวไทยไปตลอดกาล
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นักศึกษาสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ รุ่นที่8 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ข้อมูลเพิ่มเติม
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง : http://www.mfu.ac.th/
ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร : http://www.mfu.ac.th/center/sirindhorn/

ขอเชิญทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมบล็อกนี้ร่วมกันส่งสมเด็จพระพี่นางฯเสด็จสู่สรวงสวรรคาลัย

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ตัวอย่างงานวิชา Managereal Economic ครั้งที่1

สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8 ทุกท่าน
มีพี่น้องหลายคนถามเกี่ยวกับการบ้านวิชา Managereal Economic ครั้งที่1 บางคนก็ทำส่งแล้วเป็นส่วนใหญ่ครับ แต่หลายคนก็ยังไม่ได้ทำส่ง ดังนั้นผมจึงเอาการบ้านที่ผมทำส่งไปแล้วมาให้เพื่อนๆดูกันครับ ไม่ได้คิดว่าจะโชว์ หรือตังเองเก่งอะไรนะครับ เพียงแต่คิดว่าหากเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆคนอื่นๆบ้างผมก็ดีใจแล้วครับ ส่วนจะถูกหรือผิดนั้นผมไม่สามารถบอกได้ครับ ลองดูเป็นแนวทางบ้างก็ได้ครับ
งานวิชา Managerial Economic (เศรษฐศาสตร์เพื่อการจัดการ)
1. วิเคราะห์องค์กรของรัฐหรือเอกชน อย่างใดอย่างหนึ่งมา 1 องค์กร
2. ดูว่าองค์กรนั้นใช้เครื่องมือในการจัดการอะไรบ้าง
3. เครื่องมือที่เค้าใช้นั้นทำให้เค้าประสบความสำเร็จ หรือความล้มเหลวอย่างไรบ้าง
4. มีข้อเสนอแนะต่อเค้ายังไงบ้าง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. วิเคราะห์องค์กรของรัฐหรือเอกชน อย่างใดอย่างหนึ่งมา 1 องค์กร
กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

วิสัยทัศน์

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นองค์กรการเรียนรู้ที่เป็นผู้นำด้านการศึกษา และการวิจัยเพื่อพัฒนาท้องถิ่น เป็นที่พึ่งทางปัญญาของชุมชน
เสริมสร้างคุณภาพคน สังคมไทยให้เข้มแข็ง ยั่งยืน และมีศักยภาพในการแข่งขัน

พันธกิจ

1. ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม สำนึกในความเป็นไทย มีความรักและความผูกพันต่อท้องถิ่น
2. ผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานของวิชาชีพครู
3. สร้างองค์ความรู้ วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์บนพื้นฐานของภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาสากล
4. เรียนรู้และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ประสานความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อพัฒนาท้องถิ่น

เป้าหมายการให้บริการหน่วยงาน
1. ขยายการผลิตบัณฑิตและพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพิ่มขึ้น ตามความต้องการของตลาด
2. มีหน่วยงานสนับสนุนในการพัฒนาคุณภาพบัณฑิตที่มีประสิทธิภาพ
3. สร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับหน่วยงานภายนอกในการผลิตและพัฒนากำลังคน
4. สร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับสถานประกอบการในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ


5. มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและอาจารย์กับสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศ
6. ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถด้านภาษา และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารและการ
ปฏิบัติงาน
7. ส่งเสริมสุขภาวะของบุคลากร เสริมสร้างมาตรการลดปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อสุขภาพด้านปัญหายาเสพติด
การลดอุบัติภัย การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โรคเอดส์
8. เสริมสร้างให้นักศึกษายึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
9. นักศึกษามีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
10. นักศึกษาและประชาชนมีคุณธรรม จริยธรรม ตระหนัก ในคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงา
11. นักศึกษาและประชาชนเห็นคุณค่าและร่วม โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชตามพระราชดำริในสมเด็จ
พระเทพฯ
12. นักศึกษาได้รับการปลูกฝังจิตสำนึก ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
13. ผู้รับบริการได้รับบริการวิชาการเพื่อพัฒนาตนเองหน่วยงานและชุมชน
14. กลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนมีความเข้มแข็ง และมีศักยภาพในการแข่งขัน
15. เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถนำไปใช้ในการทำการเกษตร
ยั่งยืน
16. เกษตรกรมีความรู้ความสามารถ ในการเพิ่มมูลค่าผลผลิต มีศักยภาพในการผลิต และพัฒนาด้าน
การตลาด
17. ปรับปรุงพัฒนาแหล่งเรียนรู้
18. สร้างเครือข่ายแหล่งเรียนรู้ร่วมกับชุมชน
19. จัดตั้งพิพิธภัณฑ์เมืองโคราช เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และรวบรวมองค์ความรู้ที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญา
ท้องถิ่น วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และประวัติศาสตร์
20. ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาเพิ่มวุฒิ/สมรรถนะทางวิชาชีพ
21. คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการสอน
22. ระบบบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการให้บริการ
23. มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการบริหารและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
24. บุคลากรได้รับการพัฒนาศักยภาพ สามารถให้บริการได้อย่างมืออาชีพ
25. เร่งรัดการผลิตกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
26. มีผลงานวิจัยนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ที่เผยแพร่และนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
27. สร้างความเข้มแข็งของระบบวิจัยบูรณาการ
29. สร้างเครือข่ายการวิจัยและปรับมาตรฐานการวิจัย

** ข้อมูลจาก แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี พ.ศ. 2551 – 2554 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา


2. - 3. วิเคราะห์เครื่องมือทางการจัดการที่องค์กรใช้เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายขององค์กร และผลที่เกิดจากใช้เครื่องมือทางการจัดการนั้นๆขององค์กร
วิเคราะห์เครื่องมือที่มหาวิทยาลัยราชภัฏใช้ในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ และผลที่เกิดจากใช้เครื่องมือทางการจัดการนั้นๆขององค์กร
1. ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลง (Blueprint for Change)
เนื่องจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นหน่วยงานของรัฐ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการดังนั้น จึงได้รับการประเมินคุณภาพการปฏิบัติราชการ หรือการปฏิบัติงาน จากทั้งหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการ โดยหน่วยงานหลักที่ทำการประเมินมหาวิทยาลัยฯ มีดังนี้
ภายในกระทรวง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และหน่วยตรวจสอบภายในระดับกระทรวง
ภายนอกกระทรวง ได้แก่ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งเป็นการประเมินจากเอกสารที่เป็นหลักฐานการปฏิบัติงาน ทั้ง 3 มิติ คือ ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพ ด้านการพัฒนาคุณภาพ และด้านการเสริมสร้างสมรรถนะ
เครื่องมือทางการจัดการนี้ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับการรับรองคุณภาพในด้านต่างๆ นำไปสู่การยอมรับของสังคม หน่วยงานเอกชน เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อผู้ประกอบการที่ใช้บัณฑิต

2. การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management Program)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาใช้เครื่องมือนี้ในการบริหารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งเข้ามาศึกษาเล่าเรียน รวมทั้งบุคลากรที่เข้ามาทำงานใหม่ โดยการจัดกิจกรรมละลายพฤติกรรม สานสัมพันธ์ และกิจกรรมที่ทำร่วมกันทั้งบุคลากรและนักศึกษา อย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมขององค์กรแห่งนี้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมั่นคง
เครื่องมือทางการจัดการนี้ถือเป็นเครื่องมือที่มหาวิทยาลัยใช้บริหารพฤติกรรมของทั้งบุคลากรและนักศึกษามาเป็นเวลานานจนถือได้ว่าเป็นเครื่องมือหลักตัวหนึ่งในการบริหารจัดการพฤติกรรมขององค์กรนี้

3. สมรรถนะหลัก (Core Competencies)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาได้มีการจัดตั้งหน่วยงานหลักแห่งหนึ่งภายในองค์กรที่ชื่อว่า สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำหน้าที่ในการวิจัย และให้การบริการทางวิชาการ ที่เกี่ยวกับไม้กลายเป็นหินและซากดึกดำบรรพ์ ซึ่งหน่วยงานนี้ถือเป็นสถาบันที่วิจัยเกี่ยวกับไม้กลายเป็นหินแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นแห่งที่ 7 ของโลก โดยได้รับความร่วมมือจากประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา
เครื่องมือทางการจัดการตัวนี้ถือว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ ยากแก่การลอกเลียนแบบจากหน่วยงานอื่น เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง เนื้อหาข้อมูลงานวิจัยที่ต้องใช้ความพยายาม รวมถึงระยะเวลาในการดำเนินงานเป็นเวลานาน อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ
4. Customer Relationship Management : CRM
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาได้มีการลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ และทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชน เช่น การทำวิจัยร่วมกัน การรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน การต่อต้านยาเสพติดในสถานศึกษา การส่งนักศึกษาฝึกงานในสถานประกอบการที่ต้องใช้บัณฑิตของทางมหาวิทยาลัย
ในด้านการกำหนดทิศทางการปฏิบัติราชการของมหาวิทยาลัย ได้มีการให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stake holder) โดยเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียดังกล่าวร่วมแสดงความคิดเห็น และกำหนดทิศทางการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
เครื่องมือนี้ช่วยให้มหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตได้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดีอันจะนำไปสู่ความร่วมมือทางด้านวิชาการต่างๆในอนาคต

5. E-Learning
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้มีการใช้เครื่องมือที่เข้าถึงการให้บริการความรู้ทางวิชาการแก่นักศึกษาโดยใช้ระบบการเรียนรู้ทางไกล หรือ E-Learning โดยจัดทำเป็นรายคณะ ซึ่งนักศึกษาสามารถเข้าไปใช้บริการได้ตลอดเวลาที่ http://lmsonline.nrru.ac.th/moodle/
เครื่องมือนี้ช่วยยกระดับการให้บริการของมหาวิทยาลัย ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และสร้างองค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ดี

6. การจัดการความรู้ (Knowledge Management – KM)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้มีการจัดกิจกรรม KM ขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์การทำงานของบุคลากรในแต่ละส่วนงาน เป็นประจำ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจเนื่องจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละคนได้ให้ความร่วมมือในกิจกรรมนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกิจกรรมที่สนุกสนานให้ผู้เข้าร่วมการประชุมร่วมเล่นตลอด และมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากบุคลากรตัวอย่าง หรือ best practice เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นถึงแนวคิดการทำงาน มุมมองที่แตกต่าง ทัศนคติที่ดีต่อการทำงานของเพื่อนร่วมงานในหน่วยงานอื่นภายในองค์กรเดียวกัน
เครื่องมือนี้ความสามัคคีในหมู่คณะ ของบุคลากรในมหาวิทยาลัยได้เป็นอย่างดี เป็นประโยชน์ในการให้ความร่วมมือประสานงานกันภายในองค์กรเป็นอย่างดี

7. กรอบงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลาง (Medium-Term Expenditure Framework-MTEF)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้มีการจัดทำกรอบงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางตามระเบียบ ขั้นตอน และวิธีการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นการจัดทำข้อมูลงบประมาณแบบประมาณการที่สอดคล้องกับพันธกิจ และเป้าหมายการให้บริการของหน่วยงาน ทำให้มหาวิทยาลัยมีการวางแผนล่วงหน้าในการดำเนินงานเนื่องจากการดำเนินการในโครงการต่างๆของมหาวิทยาลัยต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ และอยู่ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดในแต่ละปีงบประมาณ
เครื่องมือนี้เปรียบเหมือนแผนที่ในการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ช่วยกำหนดขอบเขตการดำเนินโครงการต่างๆเป็นไปอย่างเหมาะสมตรงตามเป้าหมายที่วางไว้

8. การจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-procurement)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้มีระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามระเบียบบริหารงานพัสดุ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั่วไปเข้ามาดำเนินธุรกิจกับมหาวิทยาลัยได้ โดยมีหน่วยงานที่คอยตรวจสอลบการดำเนินงานดังกล่าว ได้แก่ หน่วยตรวจสอบภายในของมหาวิทยาลัย กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
เครื่องมือนี้ช่วยสร้างความโปร่งใส ในระบบการบริหารงานพัสดุของมหาวิทยาลัย และสามารถประหยัดเวลาในการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างได้เป็นอย่างดี

9. การจัดจ้างจากภายนอก (Outsourcing)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้มีการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการในงานระบบรักษา
ความปลอดภัย และงานบำรุง ดูแลรักษาความสะอาดของมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการประหยัดเวลา และงบประมาณในงานดังกล่าวของมหาวิทยาลัย ลดภาระงานของบุคลากร ช่วยให้บุคลากรนำเวลาที่เหลือจากงานดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในงานหลักๆที่สำคัญมากกว่าและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
เครื่องมือนี้ช่วยให้มหาวิทยาลัยประหยัดทรัพยากรที่สำคัญที่สุดได้ถึง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน นั่นคือ บุคคลและเวลา ทำให้การพัฒนามหาวิทยาลัยดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

10. การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Management)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้มีการจัดประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการปฏิบัติราชการเป็นประจำทุกปี รวมถึงการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ4ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปี ซึ่งรวมเอาแผนกลยุทธ์ที่จำเป็นของมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วยและส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงบประมาณ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ กพร. เป็นประจำทุกปีด้วย
เครื่องมือนี้ช่วยเป็นเข็มทิศนำทางให้มหาวิทยาลัยสามารถดำเนินงานได้ตรงเป้าหมายและพันธกิจที่วางไว้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ และแผนบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล

4. ข้อเสนอแนะต่อองค์กร
ข้อเสนอแนะในการใช้เครื่องมือทางการจัดการต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
1. การนำเครื่องมือ 5ส มาใช้ในการบริหารจัดการงานเอกสารในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมายังไม่มีการใช้เครื่องมือนี้อย่างจริงจัง และต่อเนื่องทั้งๆที่งานส่วนใหญ่ต้องใช้เอกสารต่างๆที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้อง และต้องนำมาเอกสารเหล่านั้นมาเป็นหลักฐานการในการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานแก่หน่วยงานที่กำกับดูแลในด้านต่างๆของมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงพบปัญทางด้านเอกสารหลักฐานไม่ครบ ข้อมูลขาดหายเวลาจะใช้งาน เป็นต้น
ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาจึงควรมีการนำเครื่องมือ 5ส มาใช้อย่างจริงจัง และทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร
2. การวัดเปรียบเทียบสมรรถนะ (Benchmarking)
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาไม่ควรเปรียบเทียบตนเองกับหมาวิทยาลัยที่ดังๆเป็นอันดับต้นๆของโลก แล้วพยายามเพียงเพื่อให้ได้คะแนนการประเมินตามเกณฑ์การประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภายนอก เช่น จำนวนอาจารย์ที่มีตำแหน่งทางวิชาการมากจนเกินไป เป็นต้น แต่ควรมองไปที่พันธกิจ เป้าหมายหลักขององค์กร หรือจุดยืนขององค์กร เช่นเน้นการบริการวิชาการ และงานวิจัยเพื่อพัฒนาท้องถิ่น เป็นต้น

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อ.........นามสกุล..........
รหัส .........-....
กลุ่มแผนการเรียนแบบ แผน ....


วิธีทำก็คือทำตามหัวข้อที่อาจารย์กำหนดทีละหัวข้อ ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการของแต่ละองค์กรจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับขนาด และลักษณะขององค์กรนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เช่นธุรกิจของเอกชนขนาดใหญ่ มีพนักงานเยอะ ค้ายขายกับทั้งภายในและต่างประเทศ เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการองค์กรของเค้าก็น่าจะมีหลายตัวจริงมั้ยครับ
สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูที่เป้าหมายที่องค์นั้นๆตั้งไว้ครับแล้วดูว่าเครื่องมือที่องค์กรนั้นๆใช้สามารถทำให้เค้าบรรลุ หรือเข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าวมั้ยนั่นเองครับ
ส่วนของผมที่เป็นสถาบันการศึกษา มีทั้งเครื่องมือที่เป็นข้อบังคับของหน่วยงานที่กำกับดูแลการดำเนินงานขององค์กร เช่น กพ. สงป. เป็นต้น แถมยังมีการจัดการเรียนการสอนหลายด้านดังนั้นบุคลากรภายในองค์กรของหน่วยงานต่างๆ ก็ย่อมต้องมีการนำเครื่องมือมาใช้ที่หลากหลายกันภายในมหาวิทยาลัย
ดังนั้นเครื่องมือทางการจัดการไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในเฉพาะแต่ไฟล์ที่อาจารย์สอนเท่านั้นนะครับ อาจแตกต่าง มีมากกว่า หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับองค์กรที่พี่น้องเลือกมาวิเคราะห์ครับ แล้วพบกันครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5 ขั้นแห่งความสำเร็จในการดำเินินธุรกิจในเศรษฐกิจใหม่

ห้าขั้นตอนแห่งความสำเร็จในการดำเินินธุรกิจในเศรษฐกิจใหม่


ภาวะถดถอยของธุรกิจโลกในปัจจุบัน ไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะระบบเศรษฐกิจใหม่กลายเป็นส่วนสำคัญในธุรกิจ
ทั่วโลก ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

หากท่านต้องการให้ธุรกิจที่ดำเนินอยู่เจริญเติบโตในโลกแห่งเศรษฐกิจใหม่เช่นนี้ เราขอเสนอห้าขั้นตอนง่าย ๆ สู่ความสำเร็จ
เดินหน้าเข้าหาลูกค้า
ความสำเร็จได้แก่การออกไปหาลูกค้าถึงที่ ไม่ใช่เพียงแต่อาศัยการเดินทางเท่านั้น แต่ยังทำได้โดยการเสนอบริการผ่านอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ข้อดีประการหนึ่งของระบบเศรษฐกิจใหม่ก็คือ สามารถเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้นและฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น
พัฒนาประสิทธิภาพ
หากต้องการประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจใหม่ ท่านต้องสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและใช้ต้นทุนอย่างคุ้มค่าที่สุด มีการแข่งขันกันมากขึ้น ท่านจึงต้องเรียนรู้ว่าทำอย่างไรธุรกิจจึงจะอยู่รอดได้ ด้วยการบริหารเงินสด และการลงทุน
ใฝ่หาเทคโนโลยี
หากท่านต้องการล้ำหน้าคู่แข่ง ก็ต้องลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ก้าวให้ทันตลาด
ไม่ต้องตกใจ หากกระแสความนิยมในตลาดเปลี่ยนไป เพียงแต่ต้องก้าวให้ทันด้วยการศึกษาทิศทางใหม่ ๆ การคาดการณ์เกี่ยวกับตลาดและแนวโน้มอุตสาหกรรม
สร้างวัฒนธรรมทางธุรกิจ
วิธีที่ดีที่สุดคือการศึกษาสภาพการแข่งขัน พัฒนาทักษะในการประกอบธุรกิจ และหาเครือข่ายสนับสนุน

ที่มา : สำนักธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพ http://www.bangkokbank.com/Bangkok+Bank+Thai/Business+Banking/SMEs/Business+Centers/default.htm

เงินทุนสนับสนุนSME's

เงินทุนสนับสนุนSME's
สวัสดีครับทุกท่าน ธุรกิจSME's หรือ Small Median Enterprices ถือว่ามีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศเรา หลายคนมีแนวคิดดีๆเกี่ยวกับการริเริ่มธุรกิจของตนเอง แต่ก็เจอปัญหาใหญ่ที่สำคัญมากๆคือ เรื่องของเงินทุน จริงอยู่การเริ่มต้นธุรกิจSME's บางธุรกิจอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากมายอะไรนัก แต่หากผู้ประกอบการคนใดต้องการสร้างธุรกิจให้เติบโตและมั่นคงเพื่อให้สามารถสู้กับการแข่งขันของธุรกิจในปัจจุบันได้ล่ะก็ ผมคิดว่าผู้ประกอบการท่านนั้นๆคงต้องมานั่งคิดพิจารณาอย่างจริงจังในเรื่องของเงินทุน ที่สอดคล้องกับลักษณะและขนาดของธุรกิจของตนเอง หรือพูดอีกนัยนึงคือต้องมีสายป่านทางการเงินยาวพอสมควรที่จะสามารก้าวผ่านวงจรชีวิตของธุรกิจในช่วงแรกเริ่ม ซึ่งเป็นช่วงที่ยากที่สุดได้นั่นเอง
จากการที่เล็งเห็นปัญหาด้านเงินทุนของผู้ประกอบการธุรกิจSME's ทั้งรายเก่าและรายใหม่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)จึงมีโครงการสนับสนุนเงินทุนดังกล่าว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการดำเนินโครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจของ SMEs ไทย หรือ Capacity Building Fund จะเป็นยังไงนั้นเราลองมาดูกันครับ
โดยหลักแล้ว โครงการนี้มุ่งที่จะเสริมสร้างผู้ประกอบการ SMEs ให้มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ ให้สมกับบทบาทของธุรกิจ SMEs ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้การแข่งขันอย่างรุนแรงในตลาดของโลกยุคโลกาภิวัตน์ สภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในที่มีความ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา และเข้ามามีอิทธิพลต่อการประกอบธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โครงการ นี้จึงเป็นส่วนสนับสนุนการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้ ธุรกิจ SMEs สามารถอยู่รอดได้สำหรับวัตถุประสงค์อื่นๆ นอกเหนือจากการเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ SMEs แล้วนั้น โครงการนี้ยังส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ ในแง่ของการเสริมความแข็งแกร่งด้านการบริหารจัดการ การขยายตลาด และกระบวนการรักษาสิทธิ์ที่พึงได้รับจากทรัพย์สินทางปัญญาของ SMEs ผ่านการดำเนินการของระบบสนับสนุนด้วยเงินอุดหนุนแบบให้เปล่า (Grant) ที่ไม่ต้องชำระคืนสูงสุดถึง 500,000 บาทต่อราย

ระบบสนับสนุนที่ว่านี้ ประกอบด้วย ระบบสนับสนุนบริการที่ปรึกษา SMEs (Consultancy Fund) ระบบสนับสนุน SMEs เพื่อการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (Internationalization Fund) และระบบสนับสนุน SMEs ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Fund)

ระบบสนับสนุนทั้ง 3 นี้จะมีลักษณะในการสนับสนุนที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของระบบ โดยระบบสนับสนุนบริการที่ปรึกษา SMEs หรือ Consultancy Fund จะเป็นเงินสนับสนุนในการจ้างที่ปรึกษาให้กับ SMEs เพื่อพัฒนาระบบธุรกิจและการพัฒนาต่อยอด
ธุรกิจสินค้าหรือบริการ สูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท ซึ่ง SMEs กลุ่มเป้าหมายหลักของระบบนี้ คือ SMEs ที่ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ เช่น มีปัญหาในด้านการบริหารจัดการ การตลาด การบัญชี การเงิน การลงทุน งานบุคคล การออกแบบผลิตภัณฑ์ ลอจิสติกส์ หรือด้านอื่นๆ และอีกกลุ่มหนึ่งคือ SMEs ที่ต้องการต่อยอดธุรกิจ เช่น การขยายตลาด การพัฒนาสินค้าหรือบริการ

ส่วน ระบบที่สองคือ ระบบสนับสนุน SMEs เพื่อการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (Internationalization Fund) เป็นระบบสนับสนุนที่จะให้เงินอุดหนุนกับ SMEs ที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาทต่อราย โดยกลุ่มเป้าหมายของการสนับสนุนจะเป็น SMEs ที่ต้องการศึกษาและพัฒนาตลาดต่างประเทศ (Market Survey) หรือ SMEs ที่ต้องการประกอบธุรกิจการค้าหรือบริการส่งออกสู่ต่างประเทศ รวมถึง SMEs ที่ต้องการเข้าร่วมการจับคู่การค้า (Business Matching) กับพันธมิตร
ต่างประเทศ และ SMEs ที่ต้องการศึกษาและพัฒนาตลาดต่างประเทศ

ระบบ สุดท้าย คือ ระบบสนับสนุน SMEs ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Fund) เป็นระบบสนับสนุนที่จะให้เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายแก่ SMEs ในการนำผลงานไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การขออนุญาตใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา หรือใช้เป็นเงินสนับสนุนการซื้อทรัพย์สินทางปัญญาจากเจ้าของผลงานภายใน ประเทศ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย โดยกลุ่มเป้าหมายของการสนับสนุนจะเป็น SMEs ที่ต้องการนำผลงานไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาทั้งภายในประเทศและต่าง ประเทศ หรือกลุ่ม SMEs ที่ต้องการขออนุญาตใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศ และกลุ่ม SMEs ที่ต้องการซื้อทรัพย์สินทางปัญญาจากเจ้าของผลงานภายในประเทศ

สิทธิ ประโยชน์ที่ผู้เข้าร่วมโครงการเงินทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจของ SMEs ไทย หรือ Capacity Building Fund คือ ผู้ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าวจะเป็นเงินแบบให้เปล่า (Grant) ที่ไม่ต้องชำระคืน และสัดส่วนของการสนับสนุนสูงสุดที่ 50% ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย นอกจากนี้ ยังรวมถึงสิทธิประโยชน์จากการบริการอื่นๆ จากหน่วยงานภาครัฐที่ร่วมดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการส่งออก กรมทรัพย์สินทางปัญญา สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) สถาบันการเงิน ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ และศูนย์บริการ SMEs ในเครือข่ายของ สสว. ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค

คุณสมบัติเบื้องต้นในการขอรับการสนับสนุน จากระบบเหล่านี้ คือ ผู้ประกอบการที่ได้สมาชิกไว้กับ สสว. และเป็นนิติบุคคล สัญชาติไทย ที่ดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ตามบทบัญญัติของกฎกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงเป็นผู้ดำเนินธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้กรอบของแผนการส่งเสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2550-2554)

หากท่านผู้ อ่านสนใจต้องการทราบเงื่อนไข หรือประสงค์จะเข้าร่วมรับการสนับสนุนจากโครงการนี้ สามารถขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานส่งเสริมวิสหากิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เลขที่ 21 อาคาร ทีเอสที ทาวเวอร์ ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร หรือที่เว็บไซต์ www.sme.go.th และ โทร. 0-2278-8800 ต่อ 400 หรือที่ สสว. Call Center 0-2686-9111

ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก "บิสิเนสไทย" โดยคุณ จิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ข้อมูลเพิ่มเติม www.sme.go.th ,http://www.businessthai.co.th

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ทฤษฎีสองสูง ของเจ้าสัวซีพี

หลายท่านคงเคยได้ยินแนวคิดเกี่ยวกับการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร และการเพิ่มรายได้ของประชาชนและข้าราชการ ที่เรียกว่า ทฤษฎีสองสูง ของคุณธนินท์ เจียรวนนท์กันมาบ้าง แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักวันนี้ผมนำบทความหนึ่ีงที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้มาให้ลองอ่านกันดูครับ

"ทฤษฎีสองสูง" ในทางเศรษฐศาสตร์ : "นโยบายราคา และรายได้" (PRICE & INCOME POLICY)
ที่มา : ดร.พิสิฏฐ ภัคเกษม อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ( มติชนรายวัน วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11049 เหมือนกัน )

แนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" ที่ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวไว้คือ สูงแรก : เน้นว่า "ราคาสินค้าเกษตรจะต้องสูง" เพราะเหตุผลที่ว่าราคาสินค้าเกษตรจะเป็นแรงขับเคลื่อนตัวสำคัญ ต่ออุปสงค์/อุปทาน หรือ DEMAND/SUPPLY ของสินค้าเกษตร โดยการอาศัย "กลไกตลาด" เป็นหลัก แต่ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า ราคาสินค้าเกษตรในประเทศต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามหลักดังกล่าว แต่ราคาถูกกระทบและบิดเบือน ด้วยสาเหตุ 4 ประการ ดังนี้

ประการแรก "การที่ DEMAND สูง แต่ SUPPLY สินค้าเกษตรผลิตไม่ทันหรือไม่เพียงพอ" โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันออก ได้แก่ จีน อินเดีย และอาเซียน ซึ่งมีประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก มีเศรษฐกิจและรายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการบริโภคอาหารเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ประเทศกลุ่มนี้กลายเป็นประเทศที่นำอาหารและสินค้าเกษตรเข้าสุทธิ และทำให้ราคาสูงขึ้นทั่วโลก

เช่นเดียวกับปริมาณการผลิตน้ำมันในตลาดโลกมีเพียง 80 ล้านบาร์เรล/วัน แต่มีความต้องการใช้มากถึง 83 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้น้ำมันในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้น และอาจจะถึง $200 ต่อบาร์เรลอีกในไม่ช้า หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่า โลกจะไม่มี "ยุคอาหารและน้ำมันถูกอีกต่อไป"

ในการนี้ทำให้รัฐบาลหลายประเทศดำเนิน "นโยบายเข้ามาแทรกแซงและบิดเบือนกลไกตลาด" ทำให้ราคาสินค้าเกษตรไม่เป็นไปตามกลไกตลาด จึงมีปัญหาขึ้นในปัจจุบัน อาทิเช่น การขายข้าว "ราคาถูก" หรือ "กดราคาพลังงานให้ถูก" ซึ่งจะกลายเป็น "ระเบิดเวลา" ทำให้เกิดปัญหาตามมามากยิ่งขึ้นในอนาคต

ประการที่ 2 "การเก็งกำไรในตลาดโภคภัณฑ์ ของกองทุน HEDGE FUND" ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการ ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรและราคาน้ำมันสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 30% ทั้งนี้ เพราะว่า กองทุน HEDGE FUND เหล่านี้ ได้เปลี่ยนจากการเก็งกำไรใน "ตลาดหุ้นและตลาดเงินตรา" มาเก็งกำไรในตลาดโภคภัณฑ์มากขึ้นในปัจจุบัน เพราะเล็งเห็นว่าอนาคตของสินค้าเกษตรมีแนวโน้มราคาที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะข้าวมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการเก็งกำไรของกองทุนซื้ออนาคตเหล่านี้ ได้สร้างความบิดเบือนราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ประการที่ 3 "การที่นโยบายของรัฐเข้าแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร" โดยรัฐบาลในหลายๆ ประเทศทั้งในประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศที่ร่ำรวยต่างก็ดำเนินนโยบายอุดหนุน (SUBSIDIES) และแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรในรูปแบบต่างๆ ขึ้น จึงทำให้เกิดการบิดเบือนราคา และสร้างความวุ่นวายให้กับกลไกตลาด โดยพยายามจะกดดันให้ราคาสินค้าถูกไว้

ตัวอย่างเช่น ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่เดิมสามารถส่งออกข้าวออกไปต่างประเทศ แต่เนื่องจากรัฐบาลได้เข้ามาแทรกแซงราคาข้าว ทำให้ข้าวในประเทศมีราคาถูก ส่งผลให้ชาวนาเลิกปลูกข้าว จนทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศที่นำเข้าข้าวอันดับ 1 ของโลก คือประมาณ 2 ล้านตันต่อปี

ทั้งนี้ นายโรเบิร์ต เซลลิก (ROBERT B. ZOELLICK) ประธานธนาคารโลก เป็นอีกคนหนึ่ง ที่กล่าวว่า รัฐบาลในหลายๆ ประเทศ "ไม่ควรใช้มาตรการควบคุมราคาสินค้าเกษตรและอาหาร" เพราะนั่นหมายถึง "การฝ่าฝืนกลไกตลาด ซึ่งจะทำให้เกิดการบิดเบือนราคาไปเป็นอย่างมาก จึงเกิดการขาดแคลนขึ้น"

ประการสุดท้าย ผลกระทบจาก "ภาวะโลกร้อน (GLOBAL WARMING)" ในปัจจุบันส่งผลให้ภูมิอากาศทั่วโลกแปรปรวน (CLIMATE CHANGE) กระทบต่อผลิตผลด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะการผลิตอาหารลดน้อยลง และไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาดโลก จึงส่งผลให้พืชเกษตรและอาหารมีราคาเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ดังนั้น สูงที่ 1 คือ "ราคาสินค้าเกษตรสูง" คือ การปล่อยให้ราคาสินค้าเกษตร เป็นไปตาม DEMAND & SUPPLY และกลไกตลาด รัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแซงหรือควบคุมราคา ทำให้เกิดการบิดเบือนและไม่ได้ผล

สูงที่ 2 คือ "รายได้หรือค่าจ้างของประชาชนจะต้องสูง" ให้สัมพันธ์กับราคาสินค้าเกษตรและอาหารที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ตามแนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" จะมุ่งเน้นรายได้ประชาชน 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1) เกษตรกรในชนบท ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ จะต้องทำให้มีรายได้สูงขึ้น 2) รายได้ ข้าราชการ และผู้ใช้แรงงานในเมือง ก็จะต้องสูงขึ้นเช่นกัน

การเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรใน "ชนบท" นั้น หากปล่อยให้ราคาสินค้าเกษตรเป็นไปตามกลไกตลาดนั้น รายได้ของเกษตรกรก็จะเพิ่มขึ้น จะมีกำลังซื้อมากขึ้น มีการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจส่วนรวมของไทยขับเคลื่อนได้ดียิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ภาครัฐจะต้องมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมด้าน "การยกระดับภาคเกษตรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น" รัฐควรให้ความสำคัญกับการทำ "เกษตรแบบดั้งเดิม" คือ เกษตรกรรายย่อย โดยการเข้าไปลงทุน พัฒนาบริการขั้นพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับการเกษตร อาทิเช่น ขยายระบบชลประทาน ให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และจัดระบบโลจิสติกส์ เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดความเสี่ยง และเพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกร ให้ได้ราคาที่เป็นธรรม เพื่อให้ "เกษตรแบบดั้งเดิม" ได้พัฒนาควบคู่กับ "การเกษตรแบบก้าวหน้า" ที่ภาคเอกชนดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว ก็จะส่งผลให้ภาคการเกษตรของประเทศไทยเข้มแข็ง และมีฐานะรายได้ดีขึ้น

ในส่วนการเพิ่มรายได้ให้กับคน "ในเมือง" หมายถึง รายได้ของผู้ใช้แรงงาน และข้าราชการที่มีรายได้ต่ำมาก และไม่สัมพันธ์กับภาระด้านรายจ่ายตามค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น จากการที่ราคาอาหารและพลังงานที่สูงขึ้น จึงควรเน้นพิจารณา "ปรับรายได้" ให้ "สัมพันธ์" กับ "ราคา" ที่สูงขึ้น เพื่อให้ประชาชนกลุ่มนี้สามารถอยู่ได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ประชาชนในช่วงนี้ก็จำเป็นจะต้องปรับวิถีชีวิตโดยเฉพาะ ในเรื่องการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับรายได้และค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยยึดระบบเศรษฐกิจแบบ "พอเพียง" มาใช้

นอกจากนี้ ถ้าเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมีรายได้สูงขึ้น ก็จะมีพลังการจับจ่ายใช้สอยเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศเราได้มี "การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน" ต่อไป

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า "ทฤษฎีสองสูง" เป็น "กฎเหล็ก" ทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถนำมาปฏิบัติได้หรือใช้ได้จริง ซึ่งจะกลายเป็นโอกาสของประเทศไทย ที่จะนำแนวคิดทฤษฎีสองสูงมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่ราคาสินค้าเกษตร มีแนวโน้มราคาสูง เพราะไทยเราเป็นประเทศเกษตรกรรม คนส่วนใหญ่ของประเทศก็มีอาชีพเป็นเกษตรกร รัฐควรให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรมากขึ้นกว่าปัจจุบัน เพื่อให้ประเทศไทย จะได้รักษาฐานะเป็น "อู่ข้าว" หรือ "ผู้ผลิตอาหารที่สำคัญของโลก" ต่อไป เพื่อนำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน

Link ของบทความนี้ http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2008q2/2008june03p2.htm

ฮ่าๆ ฮือๆ เกรดออกครบแล้ว

ฮ่าๆ ฮือๆ เกรดออกครบแล้ว

สวัสดีครับ พี่น้องชาวMBE#8 ทุกท่าน ในที่สุดเกรดคะแนนที่พวกเรารอคอย(บางคนลอยคอ เพราะรู้ครบแล้วก่อนหน้านี้) ก็ออกครบหมดทุกวิชาให้พวกเราได้ชื่นชมกับผลงานที่ผ่านมาของตัวเองในเทอมแรก
ผมเริ่มต้นขึ้นมาด้วยคำว่า " ฮ่าๆ ฮือๆ เกรดออกครบแล้ว " ฟังดูแล้วเหมือนคนบ้ายังไงไม่รู้เนอะ แต่ที่จริงแล้วมันมีความหมายสองอย่างสองอารมณ์รวมอยู่ในนี้ครับ
คำแรกคือ "ฮ่าๆ" นี่แสดงความดีใจสำหรับพี่น้องที่ได้ผลคะแนนหรือเกรดของทั้งสองวิชา คือ การลงทุนทางการเงิน กับ การวิเคราะห์เชิงปริมาณทางเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ออกมาเป็นที่น่าพอใจ หรือดีเกินคาด แล้วแต่ว่าใครจะได้เกรดอะไรบ้าง
คำที่สองคือ "ฮือๆ" แสดงความเสียใจกับพี่น้องท่านใดที่เกรดออกมาไม่ได้ดังหวังนะครับ ส่วนใหญ่ก็ได้ B บ้าง แต่ที่น่าเห็นใจ และควรให้กำลังใจคือ คนที่ได้คะแนนน้อยกว่า B ซึ่งก็ไม่ต้องเสียใจจนเกินไปครับ ท่องไว้ครับ "สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมดา" คิดซะว่าได้เรียนมากกว่าคนอื่นก็ย่อมต้องเก่งกว่าคนอื่นแน่นอน แต่ที่แน่นอนกว่านั้นคือตอนนี้สิ่งที่ต้องมอง และทำให้ดีกว่าเดิม คือ เทอมสองที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้ครับ เพราะฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่าครับ
สำหรับผมเองต้องบอกว่าพอใจแล้วล่ะ หรือไม่ตกก็บุญแล้วว่ะ ฮะๆ แต่ผมมีความคิดอย่างนึงนะว่า ฮึ่ม ใครที่ได้คะแนนเยอะสุด2-3คนในคลาสเราต้องได้รับผลกรรมที่ทำไว้ โดยการเลี้ยงฉลองให้กับพวกเราซะ 555 โทษฐานได้คะแนนเยอะกว่าเพื่อน เห็นด้วยมั้ยครับพี่น้องชาวMBE#8 ทุกท่าน

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

10 อันดับ สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2008

การจัดอันดับสายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2008

อันดับ 1 สายการบิน Singapore Airlines (สิงค์โปรแอร์ลาย) จากอันดับที่ 1 เมื่อปี 2007

อันดับ 2 สายการบิน Cathay Pacific (คาร์เธ่ย์ แปซิฟิก) จากอันดับที่ 3 เมื่อปี 2007

อันดับ 3 สายการบิน Qantas (แควนตัส แอร์ลาย) จากอันดับที่ 5 เมื่อปี 2007

อันดับ 4 สายการบิน Thai Airways (การบินไทย) จากอันดับที่ 2 เมื่อปี 2007

อันดับ 5 สายการบิน Asiana Airlines (เอเซียน่า แอร์ลาย) จากอันดับที่ 12 เมื่อปี 2007

อันดับ 6 สายการบิน Malaysia Airlines (มาเลเซีย แอร์ลาย) จากอันดับที่ 6 เมื่อปี 2007

อันดับ 7 สายการบิน Qatar Airways (การ์ตา แอร์ลาย) จากอันดับที่ 4 เมื่อปี 2007

อันดับ 8 สายการบิน Air New Zealand (แอร์ นิวซีแลนทร์) จากอันดับที่ 7 เมื่อปี 2007

อันดับ 9 สายการบิน Emirates (เอมิเรทต์ แอร์)จากอันดับที่ 9 เมื่อปี 2007

อันดับ 10 สายการบิน Etihad Airways (อิทิแฮส แอร์เวย์) จากอันดับที่ 23 เมื่อปี 2007


ที่มา : http://blog.eduzones.com/rangsit/10601

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น

สวัสดีครับพี่น้อง MBE#8 ทุกท่าน
ใกล้เวลาที่จะเปิดเทอมกันแล้วนะครับ ก็คือวันที่ 1 ต.ค. 51 นั่นเอง ใครที่ยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน(เหมือนผม ฮือๆ)ก็รีบๆเที่ยวนะครับ เติมพลังให้พร้อมก่อนเปิดเทอมไงครับ แต่สำหรับพี่น้องท่านใดที่พักผ่อนจนเต็มที่แล้ว ก็ขอให้เตรียมตัวสำหรับเทอมใหม่ด้วยนะครับ
การลงทะเบียนทั้งสองครั้งที่ผ่านมา คือเทอม 1/51 และ เทอม 2/51 ทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเราไม่ได้ลงเรียนในวิชาเลือกเสรีตามที่เราต้องการ หรืออยากจะเรียนจริงๆ !!
มันก็จริงอยู่ที่ทางคณะเค้าอาจจะมีเหตุผลของเค้า เช่น ในเรื่องอาจารย์ผู้สอน ความรู้ความถนัดของอาจารย์แต่ละท่าน แต่เราต้องไม่ลืืมว่าเรามีเวลาเรียนตามเกณฑ์ปกติแค่2ปีเท่านั้น ! แล้วนี่ก็ผ่านการลงทะเบียนมาสองเทอมแล้วด้วย แถมเรายังมีทั้งกลุ่มแผนการเรียนแบบ แผน ก. และแผน ข. อีกต่างหาก ซึ่งแปลว่า เพื่อนเราที่ลงแผนการเรียนแบบ แผน ก.(รวมทั้งผมเอง) ก็ถือว่าลงทะเบียนวิชาเลือกเสรีตามเกณฑ์ของหลักสูตรครบแล้ว(ตั้งแต่เทอมแรกด้วยซ้ำ) ก็แปลว่าจะลงหรือไม่ลงวิชาเลือกเสรีที่เหลือ หรือที่เพื่อนๆแผน ข.ต้องลงทะเบียนตามปกติหรือไม่ก็ได้ (เนื่องจากระบบการลงทะเบียนเป็นแบบเหมาจ่าย คือ ไม่ลงฯก็สามารถไปนั่งเรียนกับเพื่อนได้)
ในความเห็นของผม ผมคิดว่าเพื่อนๆทุกคนคงมีวิชาที่อยากจะเรียนแตกต่างกันออกไปตามความชอบ และความถนัดของแต่ละคน
ซึ่งตามโครงสร้างของหลักสูตรนะครับ เรามีวิชาบังคับอยู่ทั้งหมด 6 วิชาด้วยกัน คือ
- วิธีการเชิงปริมาณทางเศรษฐศาสตรธุรกิจ
- ระเบียบวิธีวิจัยและการพยากรณทางเศรษฐศาสตรและธุรกิจ
- เศรษฐศาสตรเพื่อการจัดการ
- เศรษฐศาสตรจุลภาค
- เศรษฐศาสตรมหภาค
- บัญชีการเงินและการบริหาร
ซึ่งเราลงทะเบียนเรียนไปแล้ว 4 วิชา เหลือ 2
ส่วนวิชาเลือกเสรีตามโครงสร้างหลักสูตรเรา มีถึง 11 วิชาด้วยกัน (โอ้โฮ! เยอะมากเลย) ไม่พิมพ์ดีกว่า (อิอิ) แต่ที่แน่ๆคือ บังคับให้ลงแบบนี้ครับ แผน ก. 6 หน่วยกิจ = 2 วิชา แผน ข. 15 หน่วยกิจ = 5 วิชา แต่เราลงไปแล้วครับ 4 วิชา (รวมสองเทอม) แปลว่า เฮ้ย !! เหลืออีกแค่วิชาเดียวนี่หว่า ไม่นับวิทยานิพนธ์และการศึกษาอิสระ ดังนั้นแสดงว่าเราจ่ายค่าเทอมๆละตั้ง สามหมื่นกว่าบาท นี่ ทำไมวิชาที่เราอยากเรียน ทิศทางที่้ราอยากไปตั้งแต่ก่อนมาเรียน มันดูปนๆรวมๆ จับฉ่ายไงไม่รู้นะ! คำถามคือ ถ้างั้นทำไงดีฟะเราจึงจะได้เรียนวิชาที่เราอยากเรียนหรือสนใจจริงๆ ?.?
คำตอบสำหรับคำถามนี้ ผมว่าไม่มีใครสามารถตอบได้คนเดียวครับ ต้องอาศัยความคิดเห็นของพี่น้องMBE#8 ทุกท่าน เนื่องจากแต่ละคนก็คงมีความชอบ ความสนใจ หรือวิชาที่อยากเรียนแตกต่างกันไป ดังนั้นทางออกที่ดี เช่น ให้พวกเราแต่ละคนกำหนดวิชาเลือกเสรีที่ตัวเองอยากเรียนจริงๆ(ตามโครงสร้างหลักสูตร) แล้วเอามาโหวตกันในห้องในวัน เสาร์ หรือวันอาทิตย์ หรือก่อนวันสุดท้ายในการขอเปิดรายวิชาเรียน ซึ่งคือวันอังคารที่ 4 พ.ย.51 (ตามปฏิทินการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา 2551)
สิ่งที่ผมเขียนนี้เพราะผมรู้สึกว่าการมาเรียนในระดับปริญญาโทของทั้งผม และพี่น้องใน Class เราทุกคน มันยังไม่คุ้มค่ากับเงินที่พวกเราลงทุนไปเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่วางแผนไว้ก่อนตัดสินใจมาเีรียน และสิ่งที่ผมเขียนนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวครับ ถ้าผิดพลาดประการใดผมยินดีรับไว้คนเดียวครับ ส่วนพี่น้องท่านใดที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไร หรือมีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์กับ Class เรา ก็เชิญแสดงความคิดเห็นได้เต็มเลยที่ครับ

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ข้างล่างบทความ หรือเมล์มาบอกผมได้ที่
manaw15@hotmail.com
manaw242@gmail.com

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ลดราคาข้างแกง มีผล 1 พ.ย.51

วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เวลา 17:52 น. ข่าวสดออนไลน์


พาณิชย์สั่งหั่นราคาข้าวแกง5บ. มีผล 1 พ.ย.

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังจากการประชุมร่วมกับห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ตลาดสด และร้านธงฟ้า ว่าได้ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการในการลดราคาอาหารสำเร็จรูปซึ่งเป็นอาหาร จานเดียวลงเฉลี่ยจานละ 5 บาท โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารลดลงตามไปด้วย เช่น ราคาน้ำมันพืชขณะนี้ลดลงไปแล้ว 20% ไข่ไก่ 20% ข้าวสาร 10% ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงไป 50%
ทั้งนี้ ห้างค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดขายอาหารจานเดียวอยู่ที่ราคา 25-40 บาท เช่น คาร์ฟูร์ ขายอยู่ที่จานละ 25 บาท ซึ่งถือเป็นราคาขั้นต่ำอยู่แล้ว เช่นเดียวกับแมคโคร ซึ่งมีเมนูหลักขายที่จานละ 25 บาท แต่จะดูว่าจะปรับลดราคาอาหารอื่นๆ ให้ลงมาในราคาขั้นต่ำที่ 25 บาทได้อีกหรือไม่ ส่วนบิ๊กซี ขายอยู่ที่ 25-30 บาท ก็จะไปพิจารณาถึงอาหารบางรายการจะให้ปรับลดลงเหลือ 25 บาท
สำหรับ ตลาดอตก. ปัจจุบันขายอาหารจานเดียวในราคาที่ 20-25 บาท ตลาดยิ่งเจริญขาย 25 บาท ซึ่งยืนที่ราคานี้มานานถึง 10 ปีแล้ว แต่ก็จะมีการจัดโปรโมชั่นเพิ่มเติมแทน ตลาดบางขุนศรี ขายอยู่ระหว่าง 20-25 บาท ส่วนตลาดอ่อนนุชจะมีราคาถูกเป็นพิเศษที่จานละ 15-20 บาท ตลาดวัฒนานนท์ ขาย 20-25 บาท ก็จะพิจารณาหาทางลดราคาลงมาเช่นกัน และตลาดแฮปปี้แลนด์ ขายอยู่ที่ 15-25 บาท
นายยรรยง กล่าวถึงร้านอาหารมิตรธงฟ้าด้วยว่า ขายอาหารในราคาถูกอยู่แล้ว จึงยืนที่ราคาเดิมคือไม่เกิน 25 บาท ยกเว้นอาหารพิเศษอื่นๆ ส่วนรถเข็นธงฟ้า ตอนนี้ดูจะแผ่วๆ ลงไป จึงต้องดูว่าจะปรับรูปแบบได้อย่างไรบ้าง เพื่อช่วยเหลือร้านธงฟ้าให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในภาวะเศรษฐกิจชะลอ ตัวต่อไป
“ราคาน้ำมันที่ลดลงมานี้ ทำให้ต้นทุนของอาหารสำเร็จรูปปรับลดลง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนหันมาบริโภคอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น เพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่า จึงมีเสียงเรียกร้องให้ราคาอาหารปรุงสำเร็จลดราคาลงมาเป็นจำนวนมาก โดยตลาดล่างขณะนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่จานละ 20-25 บาท ซึ่งนอกจากจะช่วยลดแรงกดดันให้ประชาชนในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ยังช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อได้ด้วย”นายยรรยงกล่าว
ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปมีน้ำหนักอยู่ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อที่สัดส่วน 17.17% ซึ่งสูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งมีน้ำหนักถ่วงดัชนีเงินเฟ้อที่ 6% หากลดราคาอาหารสำเร็จรูปลงได้ก็เชื่อว่าจะช่วยลดเงินเฟ้อได้มาก โดยถ้าลดลงมา 5 บาท หมายถึงลดลงไปราว 10-20%

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ http://www.matichon.co.th/khaosod/view_newsonline.php?newsid=TVRJeU5EWTNNamd4TUE9PQ==

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทำไมราคาทองคำจึงผันผวน

ทำไมราคาทองคำจึงผันผวน

ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

ฝากกระทู้โดย พี่ X Econ#8 ครับ

ความเร็วยิ่งแรง ไอเดียยิ่งพุ่ง

Positioning Magazine

เป็นเรื่องที่จ่อคิวเกิดขึ้นจริงๆ แน่ สำหรับเม็ดเงินโฆษณาที่จะไหลมายังสื่อดิจิตอลมากขึ้น จากอานิสงส์ของ 3G ในไทย แม้ไม่มาแบบถาโถม แต่ “กระแส” ที่เกิดขึ้นก็ทำให้นักการตลาดจับตามองอย่างใกล้ชิด

จิณณ์ เผ่าประไพ กรรมการผู้จัดการ MRM Worldwide Thailand ซึ่งเป็น Intregreted Digital Media & Relationship Management Agencyในเครือ McCANNWorldgroup แสดงทัศนะเกี่ยวกับการ 3G ที่จะส่งผลต่อรูปแบบการโฆษณาในไทย กับ POSITIONING ว่า

“ถ้า Speed มา งานครีเอทีฟก็จะกว้างขึ้น จะมีเรื่องสนุกๆ ให้ทำมากขึ้น และจินตนาการจะถูกนำมาใช้ให้เป็นจริงมากขึ้น เพราะไอเดียไม่ถูกจำกัดด้วยความเร็วของอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา”

แต่สิ่งแรกที่จิณณ์บอกว่าจำเป็นต้องทำคือ วิธีการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในเรื่องของการ Access อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยปัญหาหลักๆ ที่ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตในรูปแบบดังกล่าวยังไม่แพร่หลาย คือ

1. ไม่รู้ว่าเข้าได้
2. ไม่รู้ว่าเข้าอย่างไร

ขณะที่ปัจจุบันแม้ตัวเลขของการใช้งาน GPRS จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังมีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือที่มี GPRS ไม่น้อยที่ไม่เคยใช้งาน GPRS เลย

“หลายคนอาจไม่รู้ว่าอินเทอร์เน็ตติดตัวไปทุกที่ทุกเวลาอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้ใช้เลย”

ด้านการใช้งานของผู้ใช้ GPRS ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้งานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดาวน์โหลดวอลเปเปอร์ ริงโทน ผลฟุตบอล และเช็กรอบหนัง เป็นต้น ซึ่งเขาคาดว่าหาก 3G เริ่มแสดงบทบาท ลักษณะความต้องการยังคงไม่ต่างจากเดิมมากนัก เพียงแต่เรื่องง่ายๆ เหล่านี้จะมีสีสันมากขึ้นกว่าการรับส่งข้อความ อาจเป็นทั้งข้อความพร้อมเสียงพร้อมวิดีโอ ขณะที่การเช็กรอบหนังจะมีตัวอย่างให้ชมด้วย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่า 3G ยังเป็นเรื่องของคนเมืองมากกว่า ขณะที่พื้นที่รอบนอกในต่างจังหวัดอาจจะสื่อสารลำบาก เพราะไม่สอดรับกับไลฟ์สไตล์

กระนั้นถึงแม้จะเป็นการสื่อสารไปยังคนเมืองก็ตาม ต้องไม่เทคนิคจ๋าจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผู้บริโภคปฏิเสธ หรือเกิดอาการ Technophobia ได้ และสิ่งสำคัญคือคอนเทนต์ โฆษณาที่ออกไปคนจะ Engage หรือไม่ หรือแค่ดูแล้วผ่านเลยไป

“ทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่คนในวงการไอที สื่อสารโทรคมนาคม หรือผู้บริโภคที่เป็น Early Adopter แล้ว ยังมีคนอีกมากที่ไม่รู้จักว่า 3G คืออะไร ดังนั้นการ Educate จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำ”

จิณณ์ ย้ำอีกว่า “ต้องตอบคำถามผู้บริโภคให้ได้ สื่อสารให้เขาเข้าใจว่า ถ้าเขาใช้แล้ว เขาจะได้อะไร แต่ต้องเป็นวิธีที่แยบยล เพราะถ้าเขาไม่เข้าใจไม่รู้ว่าประโยชน์ที่เขาจะได้คืออะไร ไม่ว่าจะเป็น 3G หรือ 4G ก็คงไม่มีประโยชน์”

ขณะที่ในปีหน้า MRM เองจะมุ่งเน้นไปที่ Mobile Marketing มากขึ้น เพื่อประโยชน์ด้าน CRM ในลักษณะของ Pull strategy ไม่ใช่ Push strategy อย่างที่โอเปอเรเตอร์แทบทุกรายนิยมใช้กัน

กระนั้นก็ยังอยู่บนพื้นฐานของ SMS เหมือนเคย เพราะ SMS เป็น Non-voice ที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุด และยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแล้วยิ่งห่างกันมาก

“เราไม่ Push เพราะจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกรำคาญ แต่จะ Pull เพื่อให้เขาเกิดการตอบสนองเพื่อรับ Benefit มากกว่า เช่น ซื้อ 2 ชิ้น ให้ SMS มาเพื่อรับของพรีเมียมหรือเข้าร่วมงานปาร์ตี้พิเศษ เป็นต้น”

นอกจากนี้ยังรวมถึงการส่ง Coupon และ Surveys/Poll ได้อีกด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่าต้องมี Benefit ทุกครั้งไป

โดยธรรมชาติแล้วโทรศัพท์มือถือจัดเป็น Pull Channel ที่ผู้ใช้งานจะดึงข้อมูลที่ต้องการ และเห็นว่าน่าสนใจมาใช้งาน ขณะเดียวกันก็จะปฏิเสธข้อมูลจำพวก Spam โดยทันที ดังนั้นสื่อโฆษณาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนอง 3G Lifestyle จึงต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภคดังกล่าวด้วย เพราะไม่ว่าจะสร้างสรรค์สื่อมาเพริศหรูปานใด แต่สุดท้ายหากเป็น Spam ก็มีค่าเพียงแค่การถูก Delete ทิ้งเท่านั้น

ด้านแวดวงนักการตลาดทั่วโลกโดยเฉพาะ “Savy Marketers” ต่างตื่นตัวกับการมาของ iPhone 3G เป็นอย่างมาก เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยคอนเทนต์มากมายหลากแบบห รือ Rich Contents โดยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณามหาศาลกับสื่อ Above the line เท่านั้น

นักการตลาดจอมประหยัดเหล่านี้ต่างสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดแบบ Customized เพื่อ iPhone 3G โดยเฉพาะ

“จะมีการ Engage กับโฆษณามากขึ้น โฆษณาจะมีการใช้แผนที่และวิดีโอมากขึ้นด้วย” จิณณ์ฉายภาพสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในไทยอย่างแน่นอน

“ขณะที่การใช้ Digital Media เพื่อ 3G จะมองแบบแยกส่วนไม่ได้ ต้องเป็นการใช้งานแบบ Intregrated Media เช่น เอาดิจิตอลไปรวมกับโทรศัพท์มือถือ เอาไปผนวกกับอีเวนต์ กับสื่อนอกบ้าน เป็นต้น”

ที่มา : POSITIONING : MAGAZINE : EXCLUSIVE
ข้อมูลเพิ่มเติม :http://www.positioningmag.com

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความเข้าใจสับสนระหว่างความเติบโตทางเศรษฐกิจกับการพัฒนา: บทเรียนจากละติน อเมริกา

ความเข้าใจสับสนระหว่างความเติบโตทางเศรษฐกิจกับการพัฒนา: บทเรียนจากละติน อเมริกา

สวัสดีครับชาวEconomic#8 For You ทุกท่าน วันนี้ผมได้อ่านบทความ บทความหนึ่ง ซึ่งเพื่อนเปาของเราแนะนำเข้ามา เป็นเรื่องที่พอผมอ่านจบแล้วผมนิ่งไปพักใหญ่เลยทีเดียว แล้วต้องหันกลับมามองตัวเองรวม ทั้งสังคมและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่าเรากำลังเดินไปบนถนนแห่งแนวความคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์ถูกทางหรือไม่ การจะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ดีนั้น จริงหรือที่จะต้องเร่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นอันดับต้นๆเสมอ !!??

บทความนี้สามารถให้คำตอบกับคำถามดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และผมคิดว่ผู้ที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับทางด้านเศรษฐศาสตร์อยู่ในปัจจุบัน หรือแม้แต่ใครก็ตามที่อยากเห็นการพัฒนาของประเทศไทยเป็นไปอย่างยั่งยืน สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดมุมมองใหม่ๆด้วยการอ่านบทความนี้ครับ


ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปลจาก Eduardo Gudynas and Carolina Villalba Medero, "The Persistent Confusion Between Growth and Development," Americas Policy Program Strategic Dialogue (Washington, DC: Center for International Policy, August 28, 2007).
Web location:
http://americas.irc-online.org/am/4506
Translated from: Crecimiento económico y desarrollo: una persistente confusión
Translated by: David Alford and Ade Oyelabi

อีกครั้งหนึ่งที่ละตินอเมริกามีความเข้าใจสับสนระหว่างการพัฒนากับความเติบโตทางเศรษฐกิจ และระหว่างความเติบโตทางเศรษฐกิจกับการลงทุนและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ความเข้าใจผิดแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนแทบไม่มีความน่าเชื่อถือลงเหลืออีกแล้ว แต่ความเข้าใจผิดนี้ก็กลับมาอีกจนได้ เพื่อก้าวไปให้พ้นความเข้าใจสับสนดังกล่าว เราจึงจำเป็นต้องทบทวนวิวาทะอันหลากหลายเกี่ยวกับการพัฒนาเสียก่อน

ความเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหัวจักรการพัฒนา ???
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักในละตินอเมริกา รวมทั้งนักการเมืองจำนวนมาก มักเป่าหูเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหัวจักรสำคัญเบื้องหลังการพัฒนา ซึ่งจะนำไปสู่การบรรเทาปัญหาความยากจน แนวความคิดนี้ไม่เพียงนำเสนอแบบลดทอนจนหยาบง่ายเกินไปเท่านั้น แต่มีการนำเสนอแบบหวือหวาอีกด้วย ในหลาย ๆ กรณี มีความเชื่อว่า เราจะบรรลุความเติบโตทางเศรษฐกิจได้ก็ต้องอาศัยการลงทุนจากต่างประเทศหรือการส่งออกปริมาณมาก ๆ เท่านั้น โดยเน้นย้ำด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจคือเงื่อนไขจำเป็นในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความยากจน แนวความคิดเหล่านี้มีลักษณะพิกลพิการ ลดทอนจนกลายเป็นสูตรสำเร็จหยาบง่าย และทำให้บางปัจจัยกลายเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สูตรสำเร็จหยาบง่ายนี้ได้รับการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด แต่ก็ย้อนกลับมาเกิดใหม่ได้ทุกทีไป

ทฤษฎีความเติบโตทางเศรษฐกิจ
แนวความคิดที่ยืนยันว่า ความเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ต่อจำนวนประชากรคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการบรรเทาความยากจน ยังเป็นแนวคิดที่ครอบงำในละตินอเมริกา การเพิ่มจีดีพีทำได้โดยอาศัยปัจจัยที่เป็นกุญแจสำคัญ โดยเฉพาะปัจจัยสองประการคือ
- การลงทุนจากต่างประเทศ และ
- การเพิ่มปริมาณการส่งออก

ปัจจัยทั้งสองนี้มีความเกี่ยวโยงกัน เนื่องจากแนวคิดนี้ยืนยันว่า ไม่มีทางจะทำให้การส่งออกเพิ่มปริมาณขึ้นด้วยเงินออมภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงต้องอาศัยการลงทุนจากต่างประเทศเป็นสัดส่วนสำคัญ

สถาบันการเงินระหว่างประเทศคอยปกป้องแนวคิดนี้เสมอมา กล่าวคือ แนวคิดว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการผลักดันของการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน จะช่วยยุติปัญหาความยากจน ยกตัวอย่างเช่น นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกอย่าง David Dollar และ Aart Kraay ตีพิมพ์บทความที่ได้รับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อย่างมาก ซึ่งมีชื่อบทความเฉพาะเจาะจงเลยว่า "Growth is Good for the Poor" (Dollar and Kraay, 2000) แนวคิดในบทความนี้สรุปง่าย ๆ ได้ว่า การขยายตัวของการค้าจะช่วยกระตุ้นความเติบโตทางเศรษฐกิจและบรรเทาความยากจนลงได้

จุดยืนแบบนี้ช่วยต่ออายุแนวคิดเดิม ๆ ที่เชื่อว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจคือแกนหลักของการพัฒนา เพียงแต่เพิ่มเติมความเชื่อมโยงกับการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ การเพิ่มปริมาณการส่งออก พร้อมกับการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ

การแสวงหาการลงทุนจากต่างประเทศ
ความสำคัญของการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศมาป้อนให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจ มาถึงจุดที่กลายเป็นความมักง่ายโดยยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่า การลงทุน จำเป็น ต่อการต่อสู้กับความยากจน ในการนำเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการเศรษฐกิจละตินอเมริกาและแคริบเบียน ในการประชุมการประเมินทางเศรษฐกิจของละตินอเมริกาและแคริบเบียนเมื่อ ค.ศ. 2005 นายโฆเซ มาชิเนอา (Jose Machinea) เน้นย้ำความจำเป็นของการเพิ่มการลงทุนเพื่อให้จีดีพีขยายตัว อีกทั้งการลงทุนควรมีปริมาณมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการจ้างงานและลดปัญหาการว่างงานลง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การลงทุนเป็นแง่มุมสำคัญของการพัฒนา แต่การลดทอนแนวคิดจนหยาบง่ายทำให้หลาย ๆ ปัจจัยไม่ได้รับการพิจารณา มองข้าม หรือคิดว่าเป็นเงื่อนไขที่มาพร้อมกับการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น การสร้างงานที่มีการผลิตจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้อต่อธุรกิจใหม่ ๆ แต่การลงทุนเพียงเพื่อให้มีการลงทุนกลับไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหานี้ มีตัวอย่างมากมายที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่โตมโหฬารในบางภาคส่วน เช่น การทำเหมือง ซึ่งเป็นการลงทุนที่ทำให้เกิดการจ้างงานน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับภาคส่วนอื่น

นอกจากนี้ จุดยืนของคนอย่างมาชิเนอา ดูเหมือนลดทอนปัญหาซับซ้อน เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ให้เหลือแค่ความสัมพันธ์กับการไหลเข้ามาของการลงทุน วิสัยทัศน์แบบนี้ยืนกรานว่า การเพิ่มปริมาณการลงทุนคือหนทางในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และทำให้การแข่งขันเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการสร้างมาตรการบางอย่างเพื่อดึงดูดให้ทุนไหลเข้ามา เป็นต้นว่าบรรทัดฐานด้านทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดเสรีธนาคาร ฯลฯ แม้กระทั่งมาตรการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่มีการผลิต ก็ดูเหมือนวางเงื่อนไขโดยมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการไหลเข้ามาของทุน

ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแห่งชาติส่วนอื่น ๆ จึงกลายเป็นแค่ตัวประกอบให้แก่บทบาทดารานำของการดึงดูดทุนจากต่างประเทศ แนวคิดนี้มีรากเหง้าหยั่งลึกในละตินอเมริกา มีการนำแนวคิดนี้มาปฏิบัติทั้งในรัฐบาลที่มียุทธศาสตร์แบบเดิม ๆ เช่น รัฐบาลประธานาธิบดีอัลวาโร อูริเบในประเทศโคลอมเบีย ตลอดจนรัฐบาลฝ่ายซ้าย นับตั้งแต่พรรครัฐบาล Concertation Coalition ในชิลี ไปจนถึงมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลประธานาธิบดีลูอิซ อีนาเซียว ลูลา ดา ซิลวาในบราซิล

อีกตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้คือ ประเทศอุรุกวัย รัฐบาลฝ่ายซ้ายของพรรค Broad Front ก็หันมาใช้มาตรการรุกในการดึงดูดเงินทุน ดังที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ นายดานิโล อัสโตรีกล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะประสบการณ์ในโลกบอกให้เราต้องออกไปแสวงหาการลงทุน เนื่องจาก “นักลงทุนในโลกมีโอกาสมากมาย” ตัวอย่างที่ได้รับการนำเสนอครั้งแล้วครั้งเล่าคือ เรื่องราวความสำเร็จของการลงทุนสร้างโรงงานเซลลูโลสริมแม่น้ำอุรุกวัย โดยทึกทักว่าการลงทุนนี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิด “ความเติบโตของการจ้างงานขนานใหญ่”

กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นพื้นที่สีเทาของวิสัยทัศน์แบบหยาบง่ายนี้ ที่ริมแม่น้ำอุรุกวัยฝั่งประเทศอุรุกวัย กำลังมีการก่อสร้างโรงงานแปรรูปเซลลูโลสที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค โดยได้รับเงินลงทุนกว่าพันล้านดอลลาร์จากบริษัท Botnia ของฟินแลนด์ โครงการนี้กลายเป็นประเด็นสำคัญในความขัดแย้งร้อนแรงระหว่างประเทศอุรุกวัยกับประเทศอาร์เจนตินา ที่ตั้งอยู่อีกฟากของแม่น้ำ ทั้งนี้เพราะกลุ่มประชาชนอาร์เจนตินาประณามผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมที่โรงงานแบบนี้จะก่อให้เกิดขึ้น

ถ้ามองจากจุดยืนทางการเงินของอุรุกวัย การไหลเข้ามาของเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ย่อมดูประหนึ่งโชคลาภที่ลอยมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ปัญหาจะเริ่มชัดเจนขึ้น หากเราพิจารณาว่า จริง ๆ แล้ว มูลค่าการลงทุนที่บริษัทประกาศออกมา ส่วนใหญ่คือเครื่องจักรและสินค้าที่ซื้อมาจากประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมทั้งฟินแลนด์ ในกรณีนี้ เงินลงทุนสัดส่วนสำคัญจะตกอยู่กับประเทศอื่น ๆ และไม่เคยตกมาถึงอุรุกวัยจริง ๆ การลงทุน “สุทธิ” ที่อุรุกวัยจะได้รับยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ เนื่องจากไม่มีหน่วยงานรัฐอิสระที่สามารถเข้ามาวิเคราะห์สถานการณ์ ประมาณกันว่า จากมูลค่าการลงทุนที่ประกาศไว้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินที่ตกมาถึงอุรุกวัยจริง ๆ น่าจะอยู่ที่ราว 800 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบข้างเคียงและการผลักภาระที่ควรนำมาชั่งน้ำหนักเมื่อพิจารณาการลงทุนครั้งใด ๆ ไม่เคยมีการวิเคราะห์ว่าควรเก็บเงินจากบริษัทฟินแลนด์มากน้อยแค่ไหนเพื่อชดเชยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ผลกระทบที่จะทำให้การท่องเที่ยวในบริเวณนั้นลดลง ตลอดจนการสูญพันธ์ของอุตสาหกรรมประมงท้องถิ่น

ถึงที่สุดแล้ว ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลอุรุกวัยก็ออกมาปกป้องการลงทุนเหล่านี้ว่า มันจะช่วยสร้างงาน โครงการของบริษัท Botnia จ้างคนงานเกือบ 1,500 คน ในช่วงที่การก่อสร้างต้องการแรงงานสูงสุด แต่หลังจากช่วงนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่มีการจ้างงานเพิ่มเกิดขึ้นอีก เมื่อเปิดดำเนินการตามปรกติ มีการประเมินว่าโรงงานนี้จะเสนอการจ้างงานราว 300 ตำแหน่ง นี่คือตัวอย่างที่พบเห็นได้ทั่วไปของการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อส่งออกสินค้า ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานน้อย แต่มีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมรุนแรง กรณีคล้าย ๆ กันนี้รวมถึงการลงทุนขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในเอกวาดอร์และเปรู ตลอดจนโครงการเหมืองในเปรูและอาร์เจนตินา

ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
ตัวอย่างข้างต้นและตัวอย่างอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่า เหตุใดการใช้เหตุผลหยาบง่ายเชื่อมโยงการลงทุนและการส่งออกเข้ากับความเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะบรรเทาความยากจนลง จึงยังเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยม กระนั้นก็ตาม มีหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากที่เตือนสติให้เราควรระมัดระวังมากกว่านี้

การส่งออกที่เพิ่มขึ้นมีความสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจีดีพีต่อหัวในประเทศเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น กล่าวคือ ชิลี คอสตาริกา โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์และสาธารณรัฐโดมินิกัน (ใช้ตัวเลขความเติบโตโดยเฉลี่ยจาก ค.ศ. 1985-2005 ตามข้อมูลของ CEPAL, 2006) ในประเทศอื่น ๆ เช่น ปานามาและอุรุกวัย สิ่งที่เกิดขึ้นเกือบตรงกันข้าม กล่าวคือ จีดีพีเพิ่มขึ้น ในขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาก (อัตราต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของทวีปที่ 6% ต่อปี) แต่ที่น่าสังเกตยิ่งกว่านั้นก็คือ ประเทศในละตินอเมริกาจำนวนมากมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น ในขณะที่จีดีพีต่อหัวแทบไม่เพิ่มขึ้นเลย (ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของทวีปที่ 1.1% ต่อปีในช่วงสองทศวรรษหลัง) สถานการณ์แบบนี้ตรงกันข้ามกับทฤษฎีกระแสหลัก แต่ก็เกิดขึ้นในบราซิล อาร์เจนตินา และเม็กซิโก

กรณีตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นบทเรียนเพิ่มเติมที่สวนทางกับทัศนะกระแสหลัก บราซิลไม่เพียงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ แต่ยังเป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ กระนั้นก็ตาม อัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลกลับมีไม่มากนัก เม็กซิโกไม่เพียงเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญของละตินอเมริกา แต่ยังมีสัดส่วนการผลิตสินค้าสูงที่สุดด้วย กระนั้นก็ตาม ระบบเศรษฐกิจของสองประเทศนี้แทบไม่เติบโตขึ้นเลย และยังคงมีอัตราความยากจนในระดับสูง (บราซิลมีอัตราความยากจน 38% และเม็กซิโก 37% ใน ค.ศ. 2004)

ปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนในระดับสูงไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะมีการสร้างงานเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น บราซิลเป็นประเทศในละตินอเมริกาที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด แต่การลงทุนที่เพิ่มขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1990-2003 ไม่ได้เชื่อมโยงกับความเติบโตของการจ้างงานเสมอไป ยิ่งกว่านั้น ใน ค.ศ. 1990 อัตราการว่างงานมีเพียง 4.3% ในขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ (324 ล้านดอลลาร์) แต่ใน ค.ศ. 2003 มีการลงทุนมากขึ้นถึงระดับ 9.894 พันล้านดอลลาร์ ทว่าอัตราการว่างงานกลับพุ่งขึ้นไปถึง 12.3% หากพิจารณาดัชนีของประเทศบราซิลแบบใจร้ายแล้ว เราอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตรงข้ามกับทัศนะกระแสหลัก กล่าวคือ การลงทุนที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น แน่นอน นี่เป็นทัศนะที่สุ่มเสี่ยง แต่ถ้าหากเราไม่สามารถฟันธงลงไปว่า การลงทุนมากขึ้นนำมาซึ่งการว่างงานมากขึ้น เราก็ไม่สามารถอ้างได้เช่นกันว่า การลงทุนมากขึ้นนำมาซึ่งการจ้างงานมากขึ้น เห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนกับการจ้างงานมีความซับซ้อนมากกว่าที่เข้าใจกัน 999999999999

นักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคนถกเถียงกันมานมนานแล้วว่า ปัจจัยอย่างการลงทุนหรือการส่งออกโดย ตัวมันเองสามารถส่งผลกระทบต่อการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในอัตราการว่างงานหรือจำนวนคนยากจนหรือไม่ แต่ความสัมพันธ์แบบสาเหตุ-ผลลัพธ์ไม่ได้มีอยู่ระหว่างปัจจัยเหล่านี้ กุญแจที่สำคัญเสมอมาคือ บทบาทของรัฐในการจัดการกระบวนการและการใช้กลไกการปรับการกระจายความมั่งคั่งและค่าชดเชยต่างหาก การยืนกรานที่จะลดทอนทุกสิ่งทุกอย่างให้เหลือแค่ความเชื่อว่า พลวัตของการพัฒนาเกิดมาจากความเติบโตทางเศรษฐกิจ มักถูกนำเสนอว่าเป็นการแสดงออกถึงความมีสามัญสำนึก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว ความเชื่อนี้เป็นสูตรสำเร็จที่ตื้นเขินมาก

ในประการสุดท้าย แนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ “ความเจริญค่อย ๆ หยดหยาดจากบนลงสู่ล่าง” (trickle down theory) หมายความว่ากว่าจะรอให้เกิดการยกระดับฐานะของคนจน ก็ต้องรอไปอีกหลายทศวรรษ การศึกษาของสถาบันเพื่อระบบเศรษฐกิจใหม่ได้หยิบยกเอาอัตราการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยของหลาย ๆ ประเทศระหว่าง ค.ศ. 1980-2001 หากพิจารณาจากความเติบโตที่เพิ่มขึ้น คำนวณเวลาที่ประเทศเหล่านี้จะบรรลุระดับการกระจายความมั่งคั่งเทียบเท่าสหภาพยุโรป (Woodward and Simms, 2006) ด้วยอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยที่ 0.5% บราซิลจะต้องรอไปอีก 304 ปี เม็กซิโก 187 ปี และโคลอมเบีย 138 ปี ส่วนชิลีที่มีอัตราความเติบโตเฉลี่ย 3.3% จะต้องรอไป 38 ปี 99999999999

ประวัติของการถกเถียง
มายาภาพของการแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยความเติบโตทางเศรษฐกิจถูกตั้งคำถามจนเสียงอ่อนลงมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้ ในบรรดางานวิจัยชิ้นล่าสุด Bernardo Kliksberg (2000) รวบรวมเหตุผลวิบัติ (fallacy) 10 ประการเกี่ยวกับปัญหาสังคมในละตินอเมริกา เหตุผลวิบัติประการที่สามก็คือ ความคิดว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตัวมันเองก็เพียงพอแล้วที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน Kliksberg ยืนยันว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นแค่วิธีการหนึ่ง ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนไปเป็นเป้าหมายในตัวมันเองได้

หลายปีก่อน ในบทความชิ้นคลาสสิก Albert Hirschman (*) ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อปัจจัยทางเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศเลวร้ายลง บางประเทศยังสามารถปรับปรุงดัชนีชี้วัดทางสังคมในด้านสุขภาพและการศึกษาให้ดีขึ้นได้ ด้วยเหตุผลนี้เอง Hirschman จึงสรุปว่า “ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ” มีความเชื่อมโยงที่ไม่แน่นอนกับสิ่งที่เขาเรียกกว่า “ความก้าวหน้าทางการเมือง” ความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้ บางครั้งก็มีความเป็นสาเหตุ-ผลลัพธ์ต่อกัน แต่บางครั้งก็อาจตรงกันข้ามไปเลยก็ได้ สิ่งที่พบได้มากกว่าคือ ปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนยิ่งกว่าที่เข้าใจกัน (Hirschman, 1994)

(*)Albert Otto Hirschman (b. April 7, 1915, in Berlin, Germany) is an influential American economist who has authored several books on political economy and political ideology. His first major contribution was in the area of development economics.[1] Here he emphasied the need for unbalanced growth. Because developing countries are short of decision making skills, disequilibria to stimulate these and help mobilize resources should be encouraged. Key to this was enouraging industries with a large number of linkages to other firms.

His later work was in political economy and there he advanced two simple but intellectually powerful schemata. The first describes the three basic possible responses to decline in firms or polities: Exit, Voice, and Loyalty. The second describes the basic arguments made by conservatives: perversity, futility and jeopardy.

การตั้งคำถามต่อความเชื่อกระแสหลักยังเกิดขึ้นย้อนไปก่อนหน้านั้น โดยเริ่มต้นตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960 ในสมัยนั้น ความคิดกระแสหลักยังหยาบง่ายกว่าเดี๋ยวนี้อีก โดยที่ยึดเอาความเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลักสำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความคิดเหล่านี้เริ่มถูกตั้งคำถาม และนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญจำนวนมากยืนยันว่า ปัญหาของกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ไม่ใช่เรื่องความเติบโต แต่เป็นเรื่องของการพัฒนา นี่เป็นทัศนะที่ได้ค่อยได้ยินกันแล้วทุกวันนี้ หลังจากนั้นมีการวิวาทะจำนวนมากตามมา โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนา ตลอดจนการถกเถียงเกี่ยวกับการพัฒนาสังคม การสร้างงาน องค์ประกอบและการกระจายความเติบโต รวมทั้งความจำเป็นของการศึกษาและใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่จะสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นพร้อมกันไปด้วย (โปรดดู การบรรยายถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างยอดเยี่ยมของ Arndt, 1987)

ในการบรรยายที่น่าจดจำใน ค.ศ. 1969 Dudley Seers (*) ชี้ให้เห็นว่า มันเป็นเรื่องโง่เง่าที่เข้าใจสับสนระหว่างการพัฒนากับการพัฒนาเศรษฐกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจกับความเติบโตทางเศรษฐกิจ เขาเสริมว่า มันเป็นความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ทึกทักว่า หากรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการขยายตัวของประชากร ไม่ช้าไม่นานย่อมจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทางสังคมและการเมืองได้. Seers ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ดูเหมือนความเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เพียงล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองและสังคมเท่านั้น แต่ความเติบโตบางประเภทกลับกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาด้วย (อ้างจาก Arndt, 1987) การตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงนี้มีผลกระทบสำคัญต่อวงวิชาการ และในสถาบันที่ทำงานเกี่ยวข้องกับประเด็นการพัฒนา แต่อีกครั้งที่เสียงเหล่านี้ถูกเพิกเฉย และศรัทธาในความเติบโตทางเศรษฐกิจก็ย้อนกลับมาใหม่ในยุคของฉันทามติวอชิงตัน

(*)Dudley Seers (1920-1983) was a British economist who specialised in development economics. After his military service with the Royal Navy he taught at Oxford and then worked for various UN institutions. He was the director of the Institute of Development Studies at the University of Sussex from 1967 till 1972.

Seers is famous for replacing the "growth fetishism" of the early post war period with a greater concern with social development. He stressed the relativistic nature of judgements about development and questioned the value of the neoclassical approach to economics.

การวิวาทะควรมุ่งประเด็นการพัฒนา
ทุกวันนี้ มีหลักฐานมากขึ้น ๆ ที่แสดงถึงข้อจำกัดที่แอบแฝงอยู่ในความเข้าใจสับสนเกี่ยวกับการลงทุน การส่งออก หรือความเติบโตทางเศรษฐกิจกับการพัฒนา จุดยืนแบบนิ่งเฉยที่เชื่อว่า ความเติบโตจะ “หยด” หรือ “ค่อย ๆ หยดหยาด” ลงไปสู่ประชากรกลุ่มที่ยากจนที่สุด เป็นแนวคิดที่ใช้การไม่ได้ในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ยังเป็นแนวคิดที่สร้างปัญหาทางการเมือง สังคมและศีลธรรมด้วย

ในทางตรงกันข้าม จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมีการใช้ยุทธศาสตร์เดิม ๆ ที่มุ่งหาความเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งรังแต่จะสร้างต้นทุนที่ตอกย้ำหรือเพิ่มพูนความไม่เท่าเทียมให้มากขึ้นกว่าเดิม (Sánchez Parga, 2005) ยิ่งกว่านั้น ปัญหาสังคมที่เร่งด่วนในปัจจุบันก็คือ แนวคิดของความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่หยุดยั้ง ไปกันไม่ได้เลยกับแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพราะทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด อีกทั้งความสามารถของระบบนิเวศวิทยาที่จะปรับตัวก็มีจำกัดด้วย การเน้นแต่ยุทธศาสตร์ด้านการเงินไม่ช่วยสร้างเครื่องมือที่เกื้อหนุนต่อกลุ่มคนชายขอบ หรือก่อให้เกิดวิธีการในการปรับการกระจายความมั่งคั่งให้ดีขึ้น รัฐควรเป็นผู้สร้างเครื่องมือเหล่านี้และนำมันมาใช้ โดยที่ประชาชนในสังคมมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่

ทัศนะกระแสหลักที่เน้นแต่ความเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้ความใส่ใจน้อยมากต่อองค์ประกอบประเภทนี้ และยอมรับแต่การใช้ยุทธวิธีแก้ไขผลกระทบทางสังคมที่ปลายเหตุ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาควรวางเค้าโครงให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องทางสังคม ในกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จที่สุดนั้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาต้องพยายามเข้าไปดึงความมั่งคั่งที่ “หยดหยาดลงมา” จากความเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อนำไปใช้อุดหนุนการชดเชยและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในสังคมด้วย

ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องขยายการวิวาทะเกี่ยวกับการส่งออก การลงทุนและความเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่กว้างขวางกว่าเดิม ปัญหาการพัฒนามีอะไรมากกว่าแค่การส่งเสริมการส่งสินค้าออกไปนอกประเทศและดึงดูดการไหลเข้ามาของทุน จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องหวนกลับมาสู่การวิวาทะที่มุ่งประเด็นการพัฒนา เพื่อมิให้ติดกับอยู่แต่ในวิชาเศรษฐศาสตร์หรือถูกขังอยู่ในหลักความเชื่อบางอย่างของสาขาวิชานี้ ถึงเวลาแล้วที่ประเด็นการพัฒนาควรกลับมาเป็นหัวใจแกนกลางของเวทีการถกเถียงในทุก ๆ มิติ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

Eduardo Gudynas และ Carolina Villalba Medero เป็นนักวิเคราะห์ของ CLAES-D3E (Development, Economy, Ecology, Equity-Latin America) http://www.globalización.org/. บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งที่คัดมาจากผลงานที่ตีพิมพ์ใน Revista del Sur, No. 165, May 2006.

บรรณานุกรม
Arndt, H.W., 1987, Economic development, The history of an idea, Chicago, University Chicago Press.
CEPAL, 2006, Espacios iberoamericanos, CEPAL and Secretaría General Iberoamericana, Santiago of Chile.
Dollar, D. and A. Kraay, 2000, Growth is good for the poor, World Bank, Policy Research Department, Washington.
Hirschman, A.,OR, 1994, "The intermittent connection between political and economic progress," Estudios Públicos, Santiago de Chile, 56: 5-14.
Kliksberg, B., 2000, "Ten fallacies about the social problems of Latin America," Socialismo and Participacion, Lima, 89: 49-75.
Rodríguez, F. and D. Rodrik, 2000, "Trade policy and economic growth: a skeptic's guide to the cross-national evidence," NBER Macro Annual 2000 (B. Bernanke and K. Rogoff, comp.), Cambridge, National Bureau Economic Research.
Sánchez Parga, J., 2005, "Without (growing) inequality there is no economic growth," Socialismo and Participation, Lima, 99: 11-27.


ขอขอบคุณเพื่อน "เปา" เป็นอย่างยิ่งที่มาร่วมแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับเรา