วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การกำหนดราคาทองคำของประเทศไทย

การกำหนดราคาทองคำของประเทศไทย

สวัสดีอีกครั้งครับ หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนานเลย เนื่องติดภารกิจ วันนี้เอาใจผู้ที่ชอบการลงทุนบ้างครับ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ขึ้นๆลงๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ทำให้ผู้ลงทุนหลายคนหันมาให้ความสนใจลงทุนในตลาดทองคำมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นที่แปรผันตามสภาวะเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดการค้าทองคำในช่วงนี้มีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างต่อเนื่องและทำสถิติสูงที่สุดเกือบ 20,000 บาท ในประวัติการณ์ค้าทองในบ้านเรา




แม้ว่าหลังจากราคาทองคำแกว่งตัวขึ้นลงวันต่อวัน แต่ในภาพรวมแล้วแนวโน้มราคาทองคำทั้งปียังถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนราย่อยทะยอยเข้ามาซื้อเพื่อหวังเก็งกำไรอยู่ตลอดเวลา อะไรบ้างที่เป็นปัจจัยผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ? ราคาทองคำในประเทศใครเป็นผู้กำหนด ? แล้วทำไมผู้สนใจลงทุนในทองคำจึงดูราคา Gold spot จาก Website ต่างประเทศ แล้วนำมาคำนวณตามสูตรตรงๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจในทันทีไม่ได้ ? คำตอบนั้นมีอยู่ในบทความที่ผมนำมาให้ทุกท่านได้อ่านต่อไปนี้ครับ

การกำหนดราคาทองคำของประเทศไทย

การกำหนดราคาทองของไทยนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง โดยมีคณะกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคมคอยดูแลตลอดช่วงเวลาการซื้อขาย โดยยึดถือหลักประชาธิปไตยในการกำหนดราคาทองคำ ถือเสียงส่วนมาก 3 ใน 5 เสียงในการตัดสินใจ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยคณะกรรมการจาก

1.ห้างทองจินฮั้วเฮง

2.ห้างทองฮั่วเซ่งเฮง

3.ห้างทองเลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์

4.ห้างทองหลูชั้งฮวด

5.ห้างทองแต้จิบฮุย


ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม สำหรับในการกำหนดราคาทองของสมาคม จะอ้างอิงจากราคา Gold Spot บวกหรือลบค่า premium จากผู้ค้าทองในต่างประเทศ ( ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเป็นสภาวะการนำเข้า หรือการส่งออก ) แล้วจึงนำมาคำนวณกับค่าเงินบาท จากนั้น จะทำการแปลงหน่วยน้ำหนักจากหน่วย ounze ให้เป็นหน่วยน้ำหนักของไทย คือ บาท โดยการตัดสินใจประกาศราคาทองในประเทศแต่ละครั้งนั้น ทางสมาคมจะต้องพิจาราณาองค์ประกอบของ Demand และ Supply ทองคำภายในประเทศเป็นสำคัญด้วย

สำหรับตัวแปรที่สำคัญในการกำหนดราคาทองของไทย สามารถสรุปได้ 4 ประการดังนี้

1. ราคาทองต่างประเทศ (Gold spot)

2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )

3. ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

4. Demand และ Supply ของทองคำภายในประเทศ

1. ราคาทองคำต่างประเทศ (Gold spot)


เป็นราคาอ้างอิงทางอิเลกทรอนิกส์ ซึ่งยังไม่ได้มีการบวก หรือลบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในการส่งมอบทองคำ เป็นการซื้อขายทองคำที่ไม่มีการส่งมอบ ซึ่งหากท่านพิจารณาดูราคา Gold spot จะเห็นว่ามีทั้งฝั่ง Bid และ Ask ซึ่งก็คือราคารับซื้อ และราคาขายออกนั้นเอง ในการซื้อทองคำจากต่างประเทศนั้น ผู้ขายจะใช้ราคา Ask ในการคำนวณ ส่วนเมื่อเราขายกลับไปยังผู้ค้าทองคำต่างประเทศ จะใช้ราคา Bid ในการคำนวณ ดังนั้นทางสมาคมเองก็เช่นกัน ในการกำหนดราคาทองภายในประเทศก็ต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย ว่าสภาวะตลาดทองคำภายในประเทศเป็นเช่นไร เช่นมีความต้องการซื้อทองคำอย่างมากก็ต้องนำเข้าทองคำ หรือหากมีความต้องการขายทองคำจำนวนมากก็ต้องส่งออกเป็นต้น

2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )


เมื่อมีความต้องการซื้อทองคำจำนวนมากจากผู้สนใจลงทุนในทองคำ และปริมาณทองคำภายในประเทศมีไม่เพียงพอ ร้านค้าทองจึงจำเป็นต้องอาศัยการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ซึ่งก็คือการซื้อจากผู้นำเข้า ซึ่งผู้นำเข้าก็ต้องซื้อต่ออีกทอดหนึ่งจากผู้ค้าในต่างประเทศ โดยจะมีการคิดค่า Premium

ค่า Premium ก็คือค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อที่นำเข้า หรือส่งออกทองคำ รวมถึงค่าขนส่ง ค่าความเสี่ยง ดอกเบี้ยธนาคาร ค่าประกันภัยต่างๆ ซึ่งถูกกำหนดมาโดยผู้ค้าทองในต่างประเทศ ซึ่งเรียกง่ายๆว่าเป็นต้นทุนในการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเข้ามาขายผู้บริโภคในไทยนั้นเอง โดยในการคำนวนจะนำราคา Spot บวกค่า Premium ดังกล่าวนี้เข้าไปด้วย ซึ่งในทางกลับกัน เมื่อมีประชาชนมาขายทองคำแท่ง คืนให้กับร้านทองจำนวนมากๆ ร้านทองจำเป็นต้องทำการขายกลับคืนมาให้กับบริษัทผู้นำเข้า และผู้นำเข้าก็จะทำการขายคืนกลับไปให้กับผู้ค้าทองในต่างประเทศอีกทอดนึง ซึ่งในจุดนี้ต่างประเทศจะใช้ราคา Spot ฝั่ง BID และหักลบค่าใช้จ่าย Premium ซึ่งในฝั่งขายออกนี้จะเรียกว่า Discount สำหรับสภาวะปกติค่า premium หรือ discount จะอยู่ที่ +1 ถึง 2 เหรียญต่อออนซ์ แต่ในสภาวะวิกฤตดังเช่นปัจจุบัน จากการที่ราคาทองคำในต่างประเทศลดลงอย่างมาก และรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำจากทุกประเทศในโลกพร้อมๆกัน ทำให้มี Demand ในโลกมาก เกิดการแย่งซื้อ ส่งผลให้มีการปรับขึ้นลงค่า premium และ discount จากผู้ค้าในต่างประเทศอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากเช่นกัน โดยอยู่ที่ช่วง +10 ถึง 20 เหรียญต่อออนซ์ และในบางครั้งสูงถึง +25 เหรียญต่อออนซ์ด้วย อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน

3. ค่าเงินบาทต่อดอลล่าสหรัฐ

ค่าเงินบาทในการคำนวณราคาทองในประเทศ จะใช้อัตราการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมีการเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกัน gold spot และมีการใช้ราคาในฝั่ง Bid และ Ask เช่นเดียวกัน สำหรับในสภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินเช่นปัจจุบัน แต่ละธนาคารก็จะบวกค่าความเสี่ยงเข้าไปด้วยเช่นกัน

4. Demand และ Supply ภายในประเทศ

คณะกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคม
นอกจากจะพิจารณาราคา Gold Spot / ค่า Premium และค่าเงินบาท ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัย Demand / Supply ภายในประเทศด้วยเป็นหลัก เพื่อที่จะตัดสินใจประกาศราคาทองคำภายในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ โดยคณะกรรมการกำหนดราคาทั้ง 5 ท่าน จะพิจารณาจากปริมาณ และราคาจากการซื้อขายระหว่าง

4.1 ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกทองคำ

4.2 ร้านค้าทองเยาวราช

4.3 ร้านค้าส่งทองคำ

4.4 ร้านค้าปลีกทองคำ

4.5 ผู้ลงทุนทองคำรายใหญ่

4.6 ผู้ลงทุนทองคำรายย่อย

กล่าวคือ มิใช่ว่าร้านทองจะซื้อขายกับประชาชนผู้สนใจลงทุนในทองคำเพียงฝ่ายเดียว ตามที่ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจ เป็นความเข้าใจที่ผิด ทุกภาคส่วนล้วนมีการซื้อและขายทองคำด้วยกันเองตลอดเวลาด้วย และการซื้อขายของร้านค้าทองด้วยกันเองนั้นจะมีปริมาณที่มากกว่าการซื้อขายกับผู้ลงทุนทั่วไปหลายสิบเท่า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสมาคมประกาศราคาทองคำสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงจากตลาดต่างประเทศมากไป ร้านทองด้วยกันเองจะมีการวิ่งเข้าหาซื้อ หรือเทขายกันเอง ส่งผลให้สมาคมต้องปรับราคาให้เหมาะสมในที่สุด เพื่อสะท้อนถึงความต้องการทองคำของตลาดตามความเป็นจริง ตามกฎของ Demand / Supply กลไกของตลาดดำเนินการไปด้วยตัวของมันเอง เช่น หากราคาทองของสมาคมประกาศต่ำกว่าตลาดโลกมาก ก็จะมีกลุ่มผู้ตระเวนซื้อทองรูปพรรณเก่าตามร้านทองทั่วประเทศ และขายทองให้ผู้ส่งออกต่างประเทศได้ส่วนต่างผลกำไรโดยตรง โดยไม่ผ่านร้านทองทำให้ร้านทองเสียรายได้ส่วนนี้ไปอย่างเห็นได้ชัด หรือหากมีการกำหนดราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลกมาก ก็จะมีผู้นำเข้าทองนำทองมาขายให้ร้านทองโดยทันทีเช่นกัน เนื่องจากได้กำไรจากส่วนต่างที่มากนั้นจูงใจ

ดังนั้น การที่ผู้สนใจลงทุนในทองคำดูราคา Gold spot จาก Website ต่างประเทศ แล้วนำมาคำนวณตามสูตรตรงๆ ก็จะได้ราคาที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงในการซื้อขายที่มีการส่งมอบทองจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอย่างเช่นในปัจจุบัน (ทองคำแท่งขาดตลาดทั่วโลก) ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น จะเห็นว่าตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริง

รู้อย่างนี้แล้ว ต้องบอกว่า แม้ตลาดทองคำจะเป็นช่งทางการลงทุนที่น่าสนใจไม่แพ้ตลาดหุ้นในยามนี้ แต่การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในทองคำควรพิจารณาปัจจัยต่างๆที่เป็นตัวกำหนดราคาทองดังกล่าว เพื่อความสำเร็จในการลงทุนของทุกท่านครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก
สมาคมค้าทองคำ

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ฐานะการเงินไทยน่าเชื่อหรือไม่ ดูอย่างไร ?

ฐานะการเงินไทยน่าเชื่อหรือไม่ ดูอย่างไร ?

ช่วงนี้กระแสการดำเนินงานของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังเป็นที่จับตาของนานาประเทศทั่วโลก เนื่องจากประเทศไทยมีการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน หรือ "อาเซียนซัมมิท ครั้งที่ 14" ซึ่งรัฐบาลไทยในฐานะเป็นพ่อบ้านต้องต้อนรับผู้นำจากหลายประเทศ ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศที่ถึงแม้ว่าจะลดความรุนแรงลงไปมากแล้ว แต่ถ่านที่ยังมีไฟก็ใช่ว่าจะดับลงไปอย่างสิ้นเชิง
ในมิติหนึ่ง ขณะที่รัฐบาลกำลังเร่งสร้างความน่าเชื่อถือให้นักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศได้เห็นถึงผลงานที่มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการไทยเข้มแข็งที่มีวงเงินกู้ที่ผ่านการเห็นชอบของ ครม. แล้ว 1.5 แสนล้านบาท จากทั้งสิ้น 4 แสนล้านบาท และที่เหลือกำลังจะทยอยนำเข้าที่ประชุมอีกระลอกหนึ่งในไม่ช้านี้ ดังนั้น ในมุมมองของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ก่อนเข้ามาลงทุนเค้าย่อมต้องประเมินความน่าเชื่อถือที่สะท้อนออกมาในรูปของฐานะทางการเงินของประเทศอย่างแน่นอน คำถามคือ แล้วเค้าดูอะไรบ้าง? และมีวิธีการดูอย่างไร? วันนี้ผมได้หยิบบทความชิ้นหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และเป็นประโยชน์มาฝากครับ





อันดับความน่าเชื่อถือระดับประเทศ (Sovereign Rating)
อันดับความน่าเชื่อถือระดับประเทศ คือ การกำหนดเพดานระดับความน่าเชื่อถือสูงสุดที่ประเทศผู้ออกตราสารจะได้รับ หรือ อีกนัยหนึ่งเป็นความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงต่ำสุดในการผิดนัดชำระหนี้ประเภทนั้นๆ ที่ประเทศจะได้รับ

โดยทั่วไป ความน่าเชื่อถือระดับประเทศ มีการจัดอันดับ 2 ประเภท คือ
1. ตราสารหนี้ (Sovereign Bonds and Notes Rating) เป็นอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับพันธบัตรรัฐบาลที่ออกขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น Yankee Bond, Samurai Bond, หรือ Global Bond
2. เงินฝากธนาคาร (Sovereign Bank Deposits Rating) เป็นอันดับความน่าเชื่อถือของการจ่ายคืนเงินฝากของสถาบันการเงินของรัฐบาล และเป็นเพดานความน่าเชื่อถือสำหรับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ การกำหนดอันดับความน่าเชื่อถือระดับประเทศทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวจะมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว และสกุลเงินท้องถิ่นและสกุลเงินต่างประเทศ โดยตราสารระยะยาวนั้นถือว่ามีความเสี่ยงมากกว่าตราสารระยะสั้น เนื่องจากระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ความเป็นไปได้ที่ผู้ออกตราสารจะผิดนัดชำระหนี้ย่อมมีสูงกว่า
ส่วนในกรณีของตราสารสกุลเงินท้องถิ่นและสกุลเงินต่างประเทศนั้น ตราสารสกุลเงินต่างประเทศนั้นถือว่ามีความ
เสี่ยงมากกว่าตราสารสกุลเงินท้องถิ่น เนื่องจากตราสารสกุลเงินต่างประเทศนั้นมีความเสี่ยงด้านการจัดหาเงิน
ตราต่างประเทศมาชำระหนี้ (Transfer Risk)

ปัจจัยที่ใช้พิจารณาในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับประเทศ ได้แก่

1. เสถียรภาพทางการเมือง
2. โครงสร้างด้านรายได้และเศรษฐกิจ
3. ประมาณการความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
4. นโยบายการเงินการคลัง
5. ภาระหนี้สาธารณะ และหนี้ต่างประเทศ
6. เสถียรภาพราคาสินค้า
7. ความยืดหยุ่นของฐานะดุลการชำระเงิน

ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนับได้ว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนและผู้ออกตราสารนอกจากนั้น บทบาทของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือก็มีความสำคัญ เนื่องจากประเทศที่อยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์สามารถได้รับผลกระทบจากประเทศอื่นๆได้อย่างรวดเร็วและจะมีผลต่อบริษัทต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้ความต้องการจัดอันดับความน่าเชื่อถือก็จะเพิ่มขึ้นควบคู่กัน ในฐานะเป็นผู้ช่วยติดตามและเตือนภัยให้กับนักลงทุน

ที่มา : "ทันศัพท์การเงิน"
เนื้อหาโดย : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
www.mfcfund.com e-mail : mfc-pr@mfcfund.com

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เิชิญผู้ที่สนใจร่วมส่งผลงานการจัดตั้ง "ชุมชนนักปฏิบัติ"

เิชิญผู้ที่สนใจร่วมส่งผลงานการจัดตั้ง "ชุมชนนักปฏิบัติ"

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร




ขอเชิญประชาชนและ ผู้ที่สนใจร่วมส่งผลงานการจัดตั้ง "ชุมชนนักปฏิบัติ" ชิงรางวัลชุมชนนักปฏิบัติดีเด่น ในโครงการศูนย์กลางความรู้แห่งชาติระยะที่ 5 ประจำปี 2552

- เปิดรับสมัครเข้าร่วมประกวดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2552

- ส่งผลงานประกวดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2552


ชุมชนนักปฏิบัติ ดีเด่น
รางวัลที่ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ
รางวัลที่ 2 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ
รางวัลที่ 3 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ

รางวัลชมเชย
รางวัลละ 5,000 บาท 2 รางวัล


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่



- คุณไฉน ผึ่งผาย โทรศัพท์ 0-2141-7038 โทรสาร 0-2143-0843 โทรศัพท์มือถือ 085-873-4899

- คุณปฐมพงษ์ ขาวจันทร์ โทรศัพท์ 0-2141-7037 โทรสาร 0-2143-0843 โทรศัพท์มือถือ 086-309-4351

- คุณธิดารัตน์ ศิริพรสุข โทรศัพท์ 0-2515-8343 ต่อ 2667 โทรสาร 0-2515-8342 โทรศัพท์มือถือ 087-814-0224

- เวปไซต์ www.tkc.go.th



สมัครการประกวดผลงาน “ชุมชนนักปฏิบัติ” ได้ที่ : http://www.tkc.go.th/webcontest.aspx

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความโลภ ความเข้าใจผิด และการมองโลกในแง่ดีเกินไป คือ สาเหตุวิกฤติการเงินโลก

ความโลภ ความเข้าใจผิด และการมองโลกในแง่ดีเกินไป คือ สาเหตุวิกฤติการเงินโลก

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าความโลภ ความเข้าใจระบบเศรษฐกิจที่ผิดพลาด และทัศนคติที่บิดเบือนความจริงมารวมอยู่ด้วยกันในหมู่ชนที่เป็นระดับหัวกะทิทางการเงินของโลก และผู้ที่มีผู้นำทางความคิดในโลกแห่งการเิงินและการลงทุน คำตอบคือ "วิกฤติเศรษฐกิจ" ที่หากเปรียบเป็นคลืื่่นในทะเลคงเป็นคลื่นที่ีขนาดใหญ่และรุนแรงยิ่งกว่าซึนามิ หลายร้อยหลายพันเท่า ในขณะที่ภัยธรรมชาติเรายังสามารถสังเกตุ คาดการณ์รูปแบบ และเวลาในการเกิดของมันเพื่อที่จะเตรียมรับมือกับมันได้ แต่คลื่นวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงยิ่งกว่าภัยธรรมชาติ ทำไมเราจึงไม่สามารถที่จะวางแผนรับมือได้มีประสิทธิภาพดังเช่นภัยธรรมชาติล่ะ?




วันนี้บังเอิญได้อ่นบทความชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจจากเวป สยามอินเทลิเจนท์ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่พวกเราที่ศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เพื่อจะได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดีควบคู่กันไป ไม่เว้นแม้แต่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คนเกือบทั้งโลกต้องการ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยคมดาบที่พร้อมจะฝากรอยแผลลึกไว้ได้ตลอดเวลา


ทำไมไม่มีใครเห็นวิกฤตเศรษฐกิจล่วงหน้า? นักเศรษฐศาสตร์อังกฤษตอบคำถามพระราชินี

August 10, 2009

เมื่อ เดือนพฤศจิยายน 2008 หลังวิกฤตเศรษฐกิจโลกก่อตัวขึ้นได้ไม่นาน สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่สองได้เสด็จเยือน London School of Economics มหาวิทยาลัยด้านเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลก และได้ตรัสถามหมู่คณาจารย์ นักเศรษฐศาสตร์ระดับหัวกะทิที่มารับเสด็จว่า “ทำไมไม่มีใครมองเห็นวิกฤตเศรษฐกิจล่วงหน้า?”

คำถามนี้ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่ง นำโดย British Academy ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาแห่งชาติด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จึงจัดสัมมนาเพื่อหาคำตอบให้กับคำถามของสมเด็จพระราชินีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2009 จากนั้นนำผลที่ได้จากการถกเถียง แลกเปลี่ยน เขียนสรุปเป็นจดหมายเพื่ออธิบายคำตอบแก่สมเด็จพระราชินี

ผู้ร่วมการเสวนาของ British Academy ได้แก่ Tim Besley ศาสตราจารย์ของ London School of Economics และหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายด้านการเงินของธนาคารแห่งอังกฤษ อาจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยลอนดอน รวมถึงมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร ตัวแทนจากภาคธุรกิจและภาคธนาคาร รวมไปถึงภาครัฐบาลและสื่อมวลชนด้านธุรกิจการเงินจำนวนมาก

จดหมายมีเนื้อความดังนี้…

ถวายแด่สมเด็จพระราชินี
พระราชวังบั๊กกิงแฮม
ลอนดอน

มาดาม,

เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จเยือน London School of Economics ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว พระองค์ได้ตรัสถามว่า “ทำไมไม่ใครสังเกตเห็นว่าเรากำลังจะเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ” ทางสถาบันจึงได้จัดเวทีเสวนาขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2009 เพื่อถกปัญหานี้ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาคธุรกิจ ภาคการเงิน เจ้าหน้าที่กำกับดูแล ภาควิชาการ และภาครัฐบาล จดหมายฉบับนี้เป็นการสรุปมุมมองและเหตุผลของผู้เข้าร่วมเสวนาทั้งหมด และเราหวังว่าจดหมายฉบับนี้จะเป็นคำตอบให้กับคำถามของพระองค์ได้

มีคนจำนวนมากคาดเดาได้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น อย่างไรก็ตามไม่มีใครเลยที่สามารถพยากรณ์รูปแบบ ระดับความรุนแรง และเวลาที่เกิดได้อย่างถูกต้อง สิ่งสำคัญในการพยากรณ์ลักษณะนี้ไม่ใช่แค่พยากรณ์รูปแบบของปัญหาได้อย่างถูก ต้องเท่านั้น แต่ต้องระบุเวลาที่มันจะเกิดขึ้น รวมไปถึงการจัดเตรียมเครื่องมือแก้ปัญหาให้กับเจ้าหน้าที่จากภาครัฐผู้มี อำนาจรับผิดชอบได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

ก่อนหน้านี้มีคนเตือนเรื่องความสมดุลย์ของตลาดการเงินและระบบเศรษฐกิจโลก มากมาย ตัวอย่างเช่น ธนาคาร Bank of International Settlements ออกมาแสดงความกังวลหลายครั้งว่าระดับความเสี่ยงที่นักการเงินพูดกันยังไม่ สะท้อนสภาพที่แท้จริงของตลาดการเงิน ส่วนธนาคารแห่งชาติอังกฤษของเราก็ได้ออกคำเตือนลักษณะเดียวกันหลายครั้งใน รายงานเสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability Reports) ซึ่งออกปีละ 2 ครั้ง ธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศซึ่งปัจจุบันถือหุ้นใหญ่โดยสาธารณชน มีชื่อเสียงด้านการจัดการความเสี่ยงเพราะจ้างผู้จัดการด้านความเสี่ยงถึง 4,000 คน แต่ปัญหาคือการมองภาพความเสี่ยงทางการเงินทั้งระบบนั้นยากกว่าความเสี่ยง เฉพาะการกู้เงินหรือความเสี่ยงของเครื่องมือทางการเงินอย่างใดอย่างหนึ่งมาก วิธีการคำนวณความเสี่ยงในปัจจุบันมักสนใจเฉพาะกิจกรรมทางการเงินเฉพาะอย่าง ถึงแม้ว่าผู้คำนวณความเสี่ยงจะเป็นนักคณิตศาสตร์ชั้นเลิศจากทั้งในและต่าง ประเทศก็ตาม แต่พวกเขามักจะมองปัญหาในภาพใหญ่ไม่เห็น

มีคนอีกเป็นจำนวนมากเช่นกันที่เคยแสดงความเป็นห่วงในความไร้เสถียรภาพของ ระบบเศรษฐกิจโลก เราผ่านช่วงเวลารุ่งเรืองของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลก ซึ่งช่วยให้ประชากรในประเทศที่ยากจน โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ลืมตาอ้าปากและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจรอบที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดสภาพ “มีเงินออมมากเกินไปทั่วโลก” ซึ่งเป็นสาเหตุให้การลงทุนระยะยาวที่มีความเสี่ยงต่ำได้รับผลตอบแทนน้อยมาก นักลงทุนจึงหันไปลงทุนในกิจการที่มีผลตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ประเทศอย่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้ประเทศจากการเติบโตของจีน ทำให้สินค้าราคาถูกลง เมื่อผนวกกับการที่ภาคประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบการ เงินได้ง่าย ทำให้ราคาบ้านทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐพุ่งสูงขึ้นมาก แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากเตือนให้เห็นอันตรายเหล่านี้

แต่ถึงแม้ว่าจะได้ยินเสียงเตือนจำนวนไม่น้อย คนส่วนใหญ่ยังมั่นใจว่าภาคธนาคารรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาเชื่อว่าพ่อมดทางการเงินทั้งหลายจะค้นพบวิธีการจัดการความเสี่ยงแบบ ใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริงนักการเงินเหล่านี้กระจายความเสี่ยงแฝงลงในเครืองมือทาง การเงินหลายประเภทต่างหาก แล้วทำเป็นเหมือนว่าความเสี่ยงถูกขจัดไปจนหมดแล้ว ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์แทบไม่มีใครเคยซ่อนความละโมภไว้ใต้วิธีคิดเชิงบวก ได้ดีขนาดนี้มาก่อน ทุกคนคิดว่าตลาดการเงินเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีความเสี่ยงแบบเดิมๆ อีกแล้ว นักการเมืองทุกคนชื่นชอบภาวะเศรษฐกิจที่เติบโต เมื่อความคิดเหล่านี้ถูกสนับสนุนโดยโมเดลทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่ พยากรณ์ความเสี่ยงขนาดเล็กในระยะสั้นได้ดี ยิ่งทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องเข้าไปใหญ่ ในขณะที่มีคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าระบบ เศรษฐกิจมีปัญหา คนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในธนาคารซึ่งรวมเอาคณะกรรมการและผู้บริหารที่ชาญฉลาด จากทุกมุมโลก รวมถึงที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่มีใครคิดว่านายธนาคารเหล่านี้จะตัดสินใจผิดพลาดหรือพวกเขาจะไม่สามารถ จัดการความเสี่ยงขององค์กรตัวเองได้ นายธนาคารและนักการเงินรุ่นนี้หลอกตัวเองและหลอกคนที่เชื่อมั่นว่าพวกเขาคือ วิศวกรที่เก่งกาจ ผู้เชี่ยวชาญในเศรษฐกิจขั้นสูงอันซับซ้อน

มุมมองในแง่ดีเหล่านี้เป็นสาเหตุว่าทำไมตลาดถึงพัฒนาวิธีการจัดการความ เสี่ยงที่เหมาะสมได้ช้านัก ภาคประชาชนได้ประโยชน์จากอัตราการว่างงานที่ต่ำ ราคาสินค้าที่ถูก และเครดิตเงินกู้ที่ได้มาโดยง่าย ภาคธุรกิจได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ ภาครัฐบาลได้ประโยชน์จากภาษีที่เก็บได้มาก ซึ่งทำให้รัฐบาลลงทุนในภาคการศึกษาและสาธารณสุขมากขึ้นตามไปด้วย การที่ทุกคนได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เจริญเติบโต ทำให้เกิดภาวะทางจิตวิทยาที่ปฏิเสธความจริง วัฎจักรนี้เกิดขึ้นจากการหลอกตัวเอง

แม้ว่าภาครัฐมีหน้าที่กำกับดูแลความเสี่ยงเหล่านี้อยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ทำงานได้ยาก มีบางคนพูดว่าหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กำกับความเสี่ยงเหล่านี้เปรียบได้กับ “เอาเหล้าออกจากงานปาร์ตี้ที่กำลังเฮฮาได้ที่” แต่นั่นคือพวกเขาต้องมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วย การกำกับดูแลด้านนโยบายของเขต City of London และ Financial Services Authority ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศอยู่แล้ว

คนจำนวนมากเชื่อว่าการรอให้เกิดปัญหาฟองสบู่ในตลาดหุ้นและอหังสาริม ทรัพย์ก่อนแล้วค่อยแก้ไขนั้นดีกว่าการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ล่วงหน้า โดยเฉพาะในสหรัฐที่ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจมาได้หลังฟองสบู่ดอตคอมแตกในปี 2001 ปรากฎการณ์ในช่วงนั้นยิ่งช่วยสนับสนุนให้เราเชื่อว่าเราสามารถแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังคงต่ำมานาน ทำให้ไม่มีสัญญาณบอกว่าระบบเศรษฐกิจกำลังจะมีปัญหา การคุมดอกเบี้ยให้ต่ำและมีเสถียรภาพอย่างยาวนานเป็นผลงานของคณะกรรมการ นโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งอังกฤษ แต่อัตราดอกเบี้ยนี้ต่ำเป็นประวัติการณ์ บางคนมองว่านโยบายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถจัดการกับความเสี่ยงทางการเงิน ได้ บางประเทศทดลองเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาซึ่งก็ไม่เกิดผลอันใด ในภาพรวมแล้ว คนส่วนมากเชื่อว่านโยบายทางการเงินควรใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงิน เฟ้อเท่านั้น ไม่สามารถใช้แก้ไขปัญหาความไร้เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจได้

สรุปว่าปัญหาอยู่ที่ไหน? ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ซึ่งจากการวัดผลที่ผ่านมาทุกคนก็มักทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาตลอดอยู่แล้ว ปัญหาทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากการสะสมตัวของความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ เชื่อมโยงกันเป็นภาพกว้าง ซึ่งไม่อยู่ใต้ความรับผิดชอบขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง เมื่อผนวกกับจิตวิทยาความเชื่อของหมู่คณะ และความศรัทธาในพ่อมดทางการเงินทั้งหลาย จึงเกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของวิกฤต ผู้รับผิดชอบแต่ละคนอาจมองว่าความเสี่ยงในส่วนของตัวเองนั้นมีขนาดเล็กๆ ซึ่งก็เป็นมุมมองที่ถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วความเสี่ยงของทั้งระบบนั้นใหญ่โตมโหฬาร

คำถามของพระองค์คือทำไมไม่มีใครมองเห็นรูปแบบ ช่วงเวลา และระดับความรุนแรงของวิกฤตเศรษฐกิจล่วงหน้า คำตอบแบบสรุปนั้นเกิดจากนักการเงินที่ชาญฉลาดทั่วโลกต่างเข้าใจความเสี่ยง ของเศรษฐกิจทั้งระบบผิดพลาด และมุมมองที่ผิดพลาดของแต่ละคนก็สะสมกันจนกลายเป็นทัศนคติที่ผิดพลาดในภาพ รวม

เราถือว่าคำถามของพระองค์เรื่องการพยากรณ์ที่ผิดพลาดเป็นหัวใจสำคัญของ การแก้ปัญหา ทาง British Academy จึงเสนอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงธุรกิจ นวัตกรรมและทักษะแรงงาน รวมถึงธนาคารแห่งอังกฤษและคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการเงิน ร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานร่วมกันขึ้นมาใหม่เพื่อไม่ให้พระองค์ ต้องถามคำถามนี้อีกในอนาคต ทาง British Academy จะจัดสัมมนาเรื่องนี้อีกครั้งในกลุ่มคนที่กว้างขึ้น เราจะรายงานผลที่ได้ให้พระองค์ทรงทราบ ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วช่วยให้พวกเราตื่นจากฝัน สุดท้ายแล้วมันจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ขึ้นกับพวกเราว่านำมันมาใช้เป็นบทเรียนเพื่ออนาคตได้มากเพียงไหน

ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้พระองค์

ศาสตราจารย์ Tim Besley
ศาสตราจารย์ Peter Hennessy


ที่มา : http://www.siamintelligence.com/

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฤา โลกจะพ้นวิกฤติเศรษฐกิจแล้วจริงๆ

ฤา โลกจะพ้นวิกฤติเศรษฐกิจแล้วจริงๆ
"พอล ครุกแมน"ชี้โลกพ้นมหาวิกฤตศก.แล้ว แต่อีก2ปีจึงจะฟื้น




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค.นายพอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์โลก และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ กล่าวระหว่างการประชุมธุรกิจระหว่างประเทศที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่า ชี้ว่า โลกอาจจะพ้นมหาวิกฤตทางเศรษฐกิจภาคสองแล้ว แต่ก็จะต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเหมือนญี่ปุ่นที่เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปี 1990 โดยโลกอาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวจากเศรษฐกิจเป็นเวลา 2 ปีหรือมากกว่านั้น เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ยังกล่าวว่า โลกจะต้องฟื้นตัวได้จากการส่งออก จากการขายสินค้าให้แก่ประเทศที่มีอำนาจบริโภคขนาดใหญ่ โดยเอเชียน่าจะมีโอกาสเศรษฐกิจพยุงตัวได้เร็วกว่าภูมิภาคอื่น เหนือสหรัฐและยุโรป บางส่วนจากการฟื้นตัวในภาคการผลิตการส่งออก แต่ขณะนี้เขาคิดว่า โลกยังคงจะต้องแก้ปัญหาการใช้จ่ายของผู้บริโภค,การลงทุนจากธุรกิจ,และภาวะเติบโตด้านอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย ซึ่งขณะนี้ยังไม่น่าจะฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ นายครุกแมน ยังได้เรียกร้องให้โลกปรับโครงสร้างการเงินเพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกซ้ำรอยด้วย โดย มติชน

ที่มา : ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER)

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บางคน...

สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8 ทุกท่าน
วันนี้ขอเขียนอะไรที่มันไร้สาระ(ที่จริงก็ทุกครั้ง 55) สบายๆ ถึงพี่น้องของพวกเราหลายๆท่าน รวมทั้งตัวผมเองด้วยนะครับ




ในที่สุดพวกเราก็สอบเสร็จกันซะที เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงกำลังทำในสิ่งที่อยากทำ หรือกำลังไปที่ชอบๆ กันอยู่แน่ๆ(เที่ยว 55+) บางคนลาพัก 3 วันติดกัน (กลับไปโดนไล่ออกไม่รู้ด้วยนะ) บางคนชวนกันไปนั่งกินเบียร์ร้านเดิม(กะว่าจะไม่เหลือให้ใครกินเลยรึไงวะ) บางคนนอน บางคนนั่ง บางคนกำลังเครียดว่าจะทำไงดีกับ IS หรือ Thesis บางคนใกล้จบแล้ว บางคนเพิ่งเริ่มต้น บางคนกำลังมัวเพลินกับอะไรบางอย่าง บางคนเบื่อ บางคนเซ็ง บางคนเหงา(ใครวะ?)บางคนกำลังคิดที่จะทำ บางคนกำลังลงมือทำ แต่บางคนดันหยุดทำและถอดใจไปซะก่อน

เอาล่ะครับไม่ว่าพี่น้องท่านใดกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ผมเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ และหากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ขอให้บอกครับ ไม่ช่วยหรอก 55+ ล้อเล่นครับ เต็มที่แน่นอนครับ เอาล่ะ..โชคดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

All THESIS-IS All IN ONE

All Thesis All IN ONE

สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8 ทุกท่าน หลังจากหายหน้าหายตาไปนาน คราวนี้ผมขอมาเขียนระบายอะไรบางอย่าง (อ่านแล้วจะเข้าใจเฉพาะ พี่น้องชาว MBE#8 เท่านั้น) เพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ของเราทุกท่าน และเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าการก้าวไปด้วยกันนั้น ดีกว่าการเดินไปโดยลำพังยังไง
ครับ เกริ่นมาซะเหมือนโฆษณาเหล้า แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ เพราะว่าในช่วงนี้เชื่อว่าพี่น้องหลายท่านคงกำลังยุ่งกับการทำ IS และ Thesis กันอยู่นะครับ (รวมทั้งผมด้วยสิ) แน่นอนครับ ว่างานของแต่ละคนนั้น ย่อมมีความหลากหลายแตกต่างกันออกไปตามความถนัด และความสนใจของแต่ละคนบางคนชอบทำเรื่องยากเพื่อปูทางไปเรียนต่อ บางคนชอบเรื่องง่ายๆก็พอ เอาจบไว้ก่อน ทีเหลือค่อยว่ากัน แต่ผมมาคิดๆดูรู้สึกเหมือนเราลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง นั่นคือ เวลาที่พวกเราได้ปรึกษาหารือกัน แลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน ถกเถียงกัน ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง มันทำให้เกิด idia ใหม่ๆในการนำไปประยุกต์ใช้กับงานของแต่ละคนมากยิ่งขึ้น การช่วยเหลือแบ่งปันสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์แก่กัน ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของเล็กๆน้อยๆที่บ่งบอกถึงการให้กำลังใจ ข้อมูลบางอย่างที่ดูธรรมดาสำหรับเรา แต่กลับเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเพื่อนบางคน
แน่นอนครับ การช่วยเหลือเพื่อนนั้น หากเป็นในระดับนี้แล้ว ย่อมไม่ควรเป็นการตกปลาให้เพื่อนกิน แต่ควรสอนวิธีการตกปลาให้เพื่อนจะดีกว่า จริงมั้ยครับ มีเพื่อนหลายคนมาขอให้ผมช่วย ทั้งที่ผมอยากช่วยทำให้เลยด้วยซ้ำ แต่หากมองในอนาคตแล้ว การช่วยเพื่อนโดยไม่ให้เค้าได้คิด ได้เรียนรู้อะไรบ้างเลย ย่อมเป็นการทำร้ายเค้าทางอ้อม ผมจึงต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
ใสนขณะที่สองเดือนแรกของเทอม 1/52 กำลังจะผ่านพ้นไป ผมและเพื่อนๆคงไม่ค่อยมีเวลาได้มาทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนแต่ก่อน แต่อยากให้รู้ไว้ครับว่าไม่อยากให้พวกเราต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร หรือเดินไปตามทางของตัวเองเท่านั้นโดยไม่หันมามองคนรอบข้างเลย เพราะเมื่อถึงวันที่เราประสบความสำเร็จ วันนั้นอาจมีใครเพียงไม่กี่คนที่มาแสดงความยินดีกับคุณครับ
ความสำเร็จของคนๆเดียว มันย่อมไม่สำคัญเท่าความสำเร็จของทีม MBE#8 หรอกครับ เพราะฉะนั้นก้าวไปข้างหน้าด้วยกันเถอะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มาแชร์ประสบการณ์กันเถอะ

มาแชร์ประสบการณ์กันเถอะ
สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
นานพอสมควรครับที่ไม่ได้มาเขียนบทความในบล็อกนี้ วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศไม่เอาวิชาการบ้างดีกว่านะครับ
วันที่ 7-11 (ไม่ใช่เซเว่นนะครับ)พ.ค.ที่ผ่านมาแน่นอนว่าผมและพี่น้องหลายคนได้เดินทางไปศึกษาดูงานกันที่ จ.กระบี่ เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์ความรู้สึกดีๆต่างๆไว้ในความทรงจำมากมาย บางคนอาจบอกว่า นั่งรถเหนื่อยมาก นานเกินไป บางคนพูดว่าทะเลกระบี่สวยมาก เกาะเยอะดีว่ะ บางคนประทับใจเรือที่เรานั่งไปดูทะเลแหวก และดำน้ำดูปะการัง บางคนประทับใจการร้องคาราโอเกะแบบลืมไปว่าตัวเองแก่แล้ว (ฮะๆ)บางคนบอกว่าการว่ายน้ำในสระหลังเวลาที่เค้าปิดสนุกมาก บางคนได้ใจ บางคนได้แผล บางคนบอกว่าอาหารทะเลสวย น่ารัก ผมหยิกๆ ตัวเล็กๆ น่ากินมากมาย (ฮ่าๆ)บางคนท้อใจกับดวงตัวเองที่ไม่ประสบความสำเร็จกับการลงทุนในกลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ชั้นสูง (รวมถึงผมด้วย 55)บางคนประทับใจการลอดถ้ำมังกรและคิดว่าไม่อยากกลับมาอีกลอดอีก 55 บางคนคงได้ Unseen กับสระมรกต ที่สวยงาม และฝรั่งงง !?
เอาล่ะครับสำหรับผมเองไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ หลากหลายสถานที่ หลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมบอกได้เลยว่าผมประทับใจทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเข้าไว้เป็นเรื่องราวเดียวกัน ตั้งแต่ก่อนก้าวขึ้นรถวันออกเดินทาง จนกระทั่งวันที่ลงรถกลับบ้าน ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าไม่สนุก ที่นั่นก็ไม่เห็นจะสวยเท่าไหร่ เวลาน้อย ไกลจัง แต่ในที่สุดผมก็คิดได้ว่าถ้าทริปนี้สมบูรณ์พร้อมไปซะทุกอย่าง มันคงไม่สนุกกว่านี้อีกก็ได้ หรือเราอาจไม่ได้แชร์ประสบการณ์ ความรู้สึกดีๆที่เพื่อนมีให้กันแบบเปิดใจ ก็เป็นได้
และการเดินทางครั้งนี้ได้ย้ำคำที่ว่า " Unperfect is perfect" กับผมอีกครั้ง

แล้วพี่น้องท่านอื่นล่ะครับ มีประสบการณ์ ความทรงจำดีๆในทริปนี้ยังไงบ้างครับ อย่าเก็บไว้คนเดียวเลย มาแชร์ประสบการณ์กันเถอะครับ

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเล

การเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเล

สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน
ใกล้ถึงวันที่พวกเราต้องเดินทางไปศึกษาดูงานกันแล้วนะครับ ผมเลยคิดว่าเราน่าจะมีการเตรียมตัวกันบ้างเพื่อว่า เมื่อเราไปถึงแล้วจะได้ดูงานและเที่ยวอย่างมีความสุขครับผม ดังนั้นผมจึงนำบทความดีๆ น่าสนใจจาก เวปสนุกดอทคอม ให้ให้พวกเราอ่านเล่นๆกันนะครับ

เมื่อเข้าช่วงหน้าร้อนสถานที่ท่องเที่ยวที่มักได้รับความนิยม ก็คงหนีไม่พ้นทะเลเป็นแน่เพราะความปลอดโปร่ง ของท้องฟ้าใส น้ำทะเลสีครามและ หาดทรายที่ขาวสะอาด คงทำให้ได้รู้สึกผ่อนคลายร้อนได้มากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทะเลทางฝั่งอ่าวไทย หรือทะเลทางฝั่งอันดามัน ก็ล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์ ในตัวเองที่แตกต่างกันแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน




การเตรียมความพร้อมก่อนการท่องเที่ยวก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะเมื่อเราเตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้ว การเที่ยวของเราครั้งนี้ก็มีแต่ความสุข และสามารถสนุกสนานได้อย่างเต็มที่ ไม่มีความกังวล เรามี เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเล ที่ดูเหมือนเป็นเรื่อง ๆ ง่าย ๆ แต่เราก็ไม่ควรที่จะมองข้าม มานำเสนอ

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อไปทะเล

สิ่งแรกที่เราควรที่จะคำนึงถึงเมื่อเราจะไปเที่ยวก็คือ สถานที่ ที่เราจะไป เราควรหาข้อมูล รายละเอียดของที่ ๆ จะไปให้มากที่สุด ควรรู้สภาพภูมิอากาศด้วยยิ่งดีจะได้เตรียมอุปกรณ์ ต่างๆ ให้พร้อมและเตรียมรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ นอกจากภูมิอากาศแล้ว เรายังควรที่จะรู้ว่าที่ที่เราจะไปนั้นมีอะไรเป็นจุดเด่น มีกิจกรรมอะไรให้เราทำบ้าง กลับมาจะได้ไม่อายใคร ว่าไปแล้วไปไม่ถึง

การเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสถานที่ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยเช่นกัน ควรเลือกให้เข้ากัน กับบรรยากาศชายทะเลสิ่งที่ต้องเตรียมก็เช่น ชุดว่ายน้ำ ผ้าผืนโต ๆ สำหรับปูนอนอาบแดด และพันกาย เสื้อกล้าม เสื้อยืดสบาย ๆ กางเกงขาสั้นที่ดูทะมัดทะแมง กางเกงชาวเล ที่ใช้ได้ทั้งการใส่นอน - ใส่เที่ยว แว่นกันแดด หมวกใบเก๋ รองเท้าแตะ โดยอาจเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าให้มีสี เข้ากันเพียงสีเดียวหรือสองสีพื้น ๆ เพื่อจะสลับสับเปลี่ยนกันใช้ได้ เป็นการประหยัดเนื้อที่เวลาเก็บใส่กระเป๋าอีกด้วย

ขึ้นชื่อว่าไปเที่ยวทะเลแล้ว หลายคนก็คงรู้สึกเหมือนกันว่ากลับมาต้องดำแน่นอน เพราะอย่างที่รู้กันว่าทะเลเป็นที่ที่แดดแรงมากแต่ถ้าเรารู้จักวิธีการป้องกันมันก็คง ไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด ดังนั้นสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเที่ยวทะเลลำดับต่อมา ก็คงหนีไม่พ้น ครีมกันแดด ซึ่งก็ควรเป็นครีมกันแดดชนิดที่มีค่า SPF สูง ๆ ไว้ก่อนนะคะ ทางที่ดีน่าจะเกินกว่า 30 - 50 ขึ้นไป นอกจากครีมกันแดดแล้ว เมื่อเราไปที่ต่าง ที่ต่างถิ่นเราอาจจะไม่สบายเอาได้ง่าย ๆ เราก็ควรจะเตรียมยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ หรือพลาสเตอร์ยา เผื่อเอาไว้ยามฉุกเฉินด้วยนะคะ

นอกจากนี้ก็ยังมีข้าวของที่มองดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อยเลย เช่น ยาสระผม ครีมอาบน้ำ ครีมบำรุงผิว ที่ขนาดปกติที่เราใช้ ๆ กันอาจจะมีขนาดที่ใหญ่โต ไม่สะดวกต่อการพกพา เมื่อเราจะไปเที่ยวเราก็อาจจะแก้ไขด้วยการแบ่งใส่ขวดแบ่ง บรรจุเล็ก ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการพกพา

เวลาไปเที่ยวนอกจากคุณจะต้องเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวอื่นๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจจะ ลืมได้ก็คงจะเป็น กล้องถ่ายรูป เพื่อให้การเที่ยวของคุณแต่ละครั้งสมบูรณ์แบบ จึงจำเป็นต้องมีการเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้ให้ดูเมื่อกลับมา เป็นสิ่งที่ดีเสียอีกนะ เก็บภาพไว้ยังดีกว่าเก็บสิ่งของจากสถานที่นั้นมานะคะ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการเตรียมตัว ก่อนที่จะออกเดินทางไปเที่ยวทะเล ที่หลาย ๆ คน อาจจะเห็นว่ามันเรื่องง่าย ๆ ที่มองข้ามไป แต่ถ้าเรามีความรู้เก็บไว้บ้าง บางทีทริปหน้าของเราอาจจะสะดวก สบาย และเตรียมตัวได้พร้อมมากขึ้นก็ได้

แล้วเจอกันนะครับพี่น้องทุกท่าน


ที่มา http://www.tripperclub.com/nana/nana_011-sea.php , สนุกพีเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

ประวัติวันสงกรานต์

ประวัติวันสงกรานต์

สวัสดีครับ ช่วงนี้ทุกท่านคงทราบกันดีเกี่ยวกับความร้อนของทั้งสภาพอากาศในเดือนที่ร้อนที่สุด รวมทั้งสถานการณ์ของบ้านเมืองเราที่ดูท่าจะร้อนยิ่งกว่าอากาศซะอีก แต่อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันที่หลายท่านรอคอยเพื่อที่จะดับร้อนกันบ้าง นั่นก็คือ " วันสงกรานต์" นั่งเองครับ ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าวันนี้ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยเราด้วย ดังนั้น ในครั้งนี้ผมจึงอยากนำประวัติวันสงกรานต์ คร่าวๆมาฝากกันครับ


สงกรานต์ เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"

ตามหลักแล้วเทศกาลสงกรานต์ถูกกำหนดตามการคำนวณโดยหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ โดยวันแรกของเทศกาลซึ่งเป็นวันที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ (ย้ายจากราศีมีนไปราศีเมษ) เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" และวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก" จากหลักการข้างต้นนี้ ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) อย่างไรก็ตาม ปฏิทินไทยในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ




สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี

พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ

การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ


กิจกรรมในวันสงกรานต์



การทำบุญตักบาตร ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง และ อุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญแบบนี้มักจะเตรียมไว้ล่วงหน้า นำอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่รวมสำหรับทำบุญ ในวันนี้หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จแล้ว ก็จะมีการก่อพระทรายอันเป็นประเพณีด้วย

การสรงน้ำพระการรดน้ำ เป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน น้ำที่รดมักใช้น้ำหอมเจือด้วยน้ำธรรมดา


การสรงน้ำพระจะรดน้ำพระพุทธรูปที่บ้านและที่วัด และบางที่จัด สรงน้ำพระสงฆ์ ด้วย


การรดน้ำผู้ใหญ่ คือการไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้ใหญ่มักจะนั่งลงแล้วผู้ที่รดก็จะเอาน้ำหอมเจือกับน้ำรดที่มือท่าน ท่านจะให้ศีลให้พรผู้ที่ไปรด ถ้าเป็นพระก็จะนำผ้าสบงไปถวายให้ท่านผลัดเปลี่ยนด้วย หากเป็นฆราวาสก็จะหาผ้าถุง ผ้าขาวม้าไปให้


การดำหัว ก็คือการรดน้ำนั่นเอง แต่เป็นคำเมืองทางภาคเหนือ การดำหัวเรียกกันเฉพาะการรดน้ำผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไปแล้ว หรือ การขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ ของที่ใช้ในการดำหัวส่วนมากมีผ้าขนหนู มะพร้าว กล้วย และ ส้มป่อย


การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้มีแต่ความสุขความสบายในวันขึ้นปีใหม่


การนำทรายเข้าวัด ทางภาคเหนือนิยมขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นนิมิตโชคลาภ ให้มีความสุขความเจริญ เงินทองไหลมาเทมาดุจทรายที่ขนเข้าวัด

ขอบคุณที่มาโดย : ตามสบายดอทคอม

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

งบสนับสนุน 2,000 พันบาทต่อหัว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ?

งบสนับสนุน 2,000 พันบาทต่อหัว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ?
สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8 ทุกท่าน คราวนี้เรามาโฟกัสในเรื่องงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2552 ของรัฐบาลกันหน่อยดีกว่าครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งบสนับสนุน 2,000 พันบาทต่อหัวของรัฐบาล ซึ่งผมเคยยกตัวอย่างเกี่ยวกับสมการ GDP โดยการกระตุ้นการบริโภคของภาคประชาชน ผ่านการการใช้จ่ายของภาครัฐบาลและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ GDP ไปแล้วในครั้งก่อน




แต่มาคราวนี้ในช่วงที่ผ่านมาได้มีหลายกระแสเกี่ยวกับความกังวลและความเคลือบแคลงใจที่เพิ่มมากขึ้นของหลายฝ่าย ว่าวิธีการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ? ประชาชนจะนำเงินไปใช้จ่ายจริงหรือ? หรือว่าจะเอาเงินที่ได้รับไปเก็บออมซะมากกว่า? นี่เป็นตัวอย่างคำถามที่ได้ยินกันมาตั้งแต่ต้น และยิ่งได้ยินชัดมากขึ้นเนื่องจากว่ารัฐบาลจะต้องมีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ประชาชนภายในเดือนมีนาคม-เมษายา นี้แล้ว แต่ก่อนที่เราจะไปวัดผลที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตนั้น เรามาลองอ่านบทความที่น่าสนใจนี้กันดูซักหน่อยนะครับว่า งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวของรัฐบาลนั้น แท้ที่จริงแล้วมันน่าเป็นห่วงอย่างที่หลายฝ่ายคิดกันหรือไม่?

งบประมาณเพิ่มเติม 2552 ใครว่าไม่น่าห่วง?
คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ โดย ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มติชนรายวัน วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11309

งบประมาณเพิ่มเติม หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า งบประมาณกลางปี เสนอโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว (เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2552) ขั้นตอนที่เหลือคือ การประกาศเป็นกฎหมายและการเบิกจ่ายงบประมาณออกจากคลังแผ่นดิน

กว่าเม็ดเงินจะผ่านส่วนราชการลงไปในระบบเศรษฐกิจก็คงหลังเดือนเมษายนเป็นต้นไป

สื่อมวลชนและคนทั่วไปอาจจะมองว่า "ผ่านไปแล้ว" จึงติดใจและไม่เป็นข้อพิจารณาต่อไป

บทความนี้ขอมองต่างมุม ความจริงเรื่องนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะการเบิกจ่ายและกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นยังเป็นหัวข้อน่าติดตามและศึกษาวิจัย (อย่างเอาจริงเอาจัง) ว่า มาตรการการใช้จ่ายภาครัฐในครั้งนี้ จะบรรลุเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงใด? และประสิทธิภาพของการใช้จ่ายเป็นอย่างไร

บทความนี้โปรยหัว ใครว่าไม่น่าห่วง ก็เพื่อจะสื่อความห่วงใยบางประการดังจะอภิปรายต่อไปนี้

ข้อห่วงใยหนึ่ง ความเสี่ยงต่อการขาดวินัยทางการคลัง คงจะต้องไม่ลืมว่า การจัดงบครั้งนี้เป็นการเพิ่มเติมจากงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2552 ซึ่งขาดดุลอยู่ก่อนหน้าแล้วในรัฐบาลสมัคร ประมาณ 250,000 ล้านบาท (จากวงเงินรายจ่าย 1.835 ล้านล้านบาท และรายรับตามประมาณการเท่ากับ 1.585 ล้านล้านบาท) เมื่อบวกกับรายจ่ายเพิ่มเติม 0.116 ล้านล้านบาท โดยไม่มีรายได้เพิ่ม ดังนั้น การขาดดุลในปีงบประมาณ 2552 จึงต้องเกินกว่า 350,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะป็นวงเงินขาดดุลสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

ยิ่งถ้าหากคิดกันว่า รายได้ที่จะจัดเก็บจริงต่ำกว่าเป้าหมาย ยอดการขาดดุลอาจจะเกินกว่าร้อยละ 20 ของงบฯรายจ่ายฯ ซึ่งจะเป็นการละเมิดวินัยทางการคลังที่สู้อุตส่าห์รักษากันมาเป็นเวลายาวนานห้าสิบปี (ตั้งแต่มี พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 และการจัดตั้งสำนักงบประมาณโดยแยกออกมาจากกระทรวงการคลัง ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณคนแรก หรือโอกาสนี้จะเป็นการขาดวินัยการคลังฉลอง 50 ปี สำนักงบประมาณ?)

อันที่จริงการทำงบประมาณกลางปี ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายรัฐบาลในอดีตก็เคยจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เช่น การจัดทำงบประมาณกลางปีในปี 2545 นั้นเนื่องการจัดเก็บรายได้สูงกว่าที่ประมาณการเอาไว้ ดังนั้น การเพิ่มรายจ่ายก็มีเหตุผลสมควร ไม่เพิ่มการขาดดุล และรัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นต้องหาไฟแนนซ์เพิ่มเติม

สถานการณ์ในปี 2552 นั้นแตกต่างไปจากปี 2545 เหตุผลประการสำคัญคือ รัฐบาลอ้างว่ามีความจำเป็นต้องใช้กระตุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับการตกงาน และการว่างงาน (ของเยาวชนที่ถึงวัยแรงงาน) ซึ่งคาดกันว่ารวมกันอาจจะเป็นหลักล้านคน เช่นเดียวกับหลายๆประเทศทั่วโลก ซึ่งก็รับฟังได้

แต่นั่นมิได้หมายความว่า งบประมาณกลางปีกว่าหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้านบาท เหมาะสมแล้ว

เราอาจจะต้องช่วยกันพิจารณาว่ามีเหตุผลสมจริงปานใด เส้นแบ่งระหว่างเหตุผล "กระตุ้นเศรษฐกิจ" กับเหตุผล "นโยบายประชานิยม" ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก

ในทรรศนะของผู้เขียน ความรู้สึกห่วงใยจะลดลงไปอย่างมาก ถ้าหากงบฯรายจ่ายกลางปีจะอยู่ในวงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท (พร้อมกับสนับสนุนอย่างจริงใจ) โดยนำรายจ่ายส่วนใหญ่นำใช้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการจ้างงาน ด้วยโปรแกรม workfare ทำให้เม็ดเงินลงถึงมือของคนตกงานและคนยากจนทั้งในเขตเมืองและชนบท

เอกสารงบประมาณเพิ่มเติม ระบุการใช้จ่ายเงินออกไปตามส่วนราชการต่างๆ ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าเป็นรายจ่ายเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน จึงเป็นที่น่ากังขาว่า มีรายจ่าย (spending) จริง แต่ว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ (stimulus) หรือไม่ยังเป็นข้อสงสัย

รายจ่าย 2,000 พันบาทต่อหัวที่รัฐบาลจะ "แจก" ให้กับผู้ใช้แรงงานที่มีรายได้น้อย (ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน) เป็นข้ออภิปรายที่หลายฝ่ายแสดงความไม่เห็นด้วย

ข้ออ้างคือจะทำให้ผู้ใช้แรงงานจำนวนหลายล้านคนมีรายได้เพิ่มขึ้น และนำไปใช้จ่ายบริโภคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ...

แต่ข้อเท็จจริงนั้น จะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบอย่างแน่นอนจนกว่าจะทดสอบเชิงประจักษ์

เช่นภายใน 3 เดือนให้หลังจากเม็ดเงินออกจากคลังไปแล้ว ในภาษาเศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็น windfall income, transitory income ทำนองว่าเป็น "เงินที่ตกมาจากฟากฟ้า" เหมือนกับว่า เราเดินไปตามถนนแล้วโชคดีเห็นแบงก์พันบาท 2 ใบตกอยู่ตรงหน้า โดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ จึงเก็บใส่กระเป๋าแล้ววางแผนว่าจะทำอย่างไรดี? บุคคลนี้จะรีบใช้จ่ายบริโภคออกไปทั้งหมด? หรือว่าเก็บออมไว้ก่อน? บางคนอาจจะชวนเพื่อนออกไปดื่มฉลอง (สุราเมรัย "จงอย่าทำ เพราะว่า สสส. เตือนว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ")

ปรมาจารย์เศรษฐศาสตร์ มิลตัน ฟรีดแมน เคยศึกษาพฤติกรรมของรายได้และการบริโภค ที่เรียกว่า transitory income และ transitory consumption เอาไว้ พร้อมกับความเห็นว่า ไม่แน่ไม่นอน ไม่มีสหสัมพันธ์ที่คาดหวังได้

ผู้เขียนออกจะเห็นคล้อยตามทฤษฎีของฟรีดแมน ยิ่งถ้านำใช้ทฤษฎีการคาดคะเนอย่างสมเหตุสมผล (rational expectation theory) ก็ต้องเอาว่า ผู้ใช้แรงงานยิ่งจะต้องตระหนักว่า "อาจจะถูกปลดออกจากงาน" ในวันใดวันหนึ่ง ดังนั้น จะต้องยิ่งเก็บเงินไว้รองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่ไม่นอน ประยุกต์มโนทัศน์ของอีกทฤษฎีหนึ่งที่อ้างว่า การตัดสินใจของคนเรานั้นอิงความเคยชินหรืออิงพฤติกรรมของเพื่อนๆ หรือคนใกล้ชิด (norm-based behavior)... ก็ในเมื่อคนอื่นๆ ต่างพากันระวังตัวรัดเข็มขัดกันทั้งนั้น ก็น่าจะเชื่อได้ว่าเงินที่ได้มาแบบลาภลอย 2,000 บาท จะไม่ถูกนำมาใช้จ่ายเป็นส่วนใหญ่

ตีเสียว่าถ้าแรงงานใช้จ่ายออกไปเพียง 10%-20% มาตรการของรัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในครั้งนี้ มีความเสี่ยงที่จะ "แป๊ก" สูงทีเดียว

แต่ว่าเรื่องนี้เถียงกันไปก็ไลฟ์บอย?.

ทางที่ดีกว่า คือสมควรให้มีการวิจัยเชิงประจักษ์ แต่ถ้าจะทำจริงๆขอให้เลือกสถาบันวิจัยที่เป็นกลางดำเนินการ (เชื่อใจใน สกว.) ไหนๆรัฐบาลก็จ่ายออกไปตั้งแสนล้านแล้ว จะไปเสียดมเสียดายสตางค์อะไรกับเงินวิจัยประเมินที่มีคุณภาพดี (งบประมาณที่จะจ้างนักศึกษาออกไปสำรวจความคิดเห็นก็เป็นหนึ่งในของการใช้จ่ายที่กระตุ้นเศรษฐกิจ ยังมีค่าใช้จ่ายค่าโดยสารและค่าเบี้ยเลี้ยงประจำวัน ซึ่งดูอย่างไงเป็นมาตรการ stimulus)ข้อห่วงใยที่สอง ความเสี่ยงต่อการใช้จ่ายที่ด้อยประสิทธิภาพของส่วนราชการ ต้องยอมรับว่าการจัดทำงบประมาณกลางปีมักจะดำเนินการอย่างเร่งรีบ ทันทีที่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะจ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนราชการต่างเร่งกันทำข้อเสนอโครงการเพื่อจะได้รับงบกลางปี

ข้อเสนอโครงการสมมติว่ามีจำนวน 100 โครงการ มีส่วนหนึ่งที่เข้าท่า/ตรงประเด็น แต่อีกจำนวนหนึ่ง "ไม่ได้ความ" ในตำราเศรษฐศาสตร์การคลังมีคำสอนหนึ่งที่เรียกว่า flypaper effect อธิบายการให้เงินอุดหนุนของรัฐ ซึ่งสรุปความได้ว่า (เงิน) เป็นเสมือนกระดาษล่อแมลงวัน มองว่า รัฐบาลเป็นนาย (principal) ส่วนหน่วยราชการนั้นเป็นบ่าว (agents) ทฤษฎีการบริหารจัดการยุคใหม่สอนให้เข้าใจว่า นายเป็น "นาย" ก็จริงอยู่ แต่ว่าบ่าวอาจจะ "หลอกนาย" ได้ โดยอาศัยว่ารัฐบาลไม่รู้ข้อมูลสนเทศมากเท่ากับหน่วยราชการ นำเสนอข้อมูลเฉพาะส่วนที่ดี ส่วนที่ด้อยประสิทธิภาพนั้น ส่วนราชการปิดบังเอาไว้หรือไม่นำเสนอ

มาตรการใช้จ่ายของภาครัฐนั้น การจะหวังผลลัพธ์ประสิทธิภาพทั้ง 100% คงเป็นเรื่องยาก

แต่เราคงจะยอมรับไม่ได้ ถ้าหากว่าความด้อยประสิทธิภาพสูงเกินไป (เกินกว่าระดับหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่เห็นร่วมกัน)

ทางที่ดี รัฐบาล และ สภานิติบัญญัติจะต้องหา "ตัวช่วย" กล่าวคือสถาบันเป็นกลางและมีหลักวิชาการ บวกกับการระดมคนที่มีความรู้ใน "ภาคประชาสังคม" ที่สนใจเฝ้าติดตามรายจ่ายและการทำงานของภาครัฐ จึงเสนอให้ "เอาจริงเอาจังว่ากับการประเมิน"

ถ้าหากเราติดตามได้ว่ารายจ่ายงบประมาณกลางปี 2552 ดำเนินการอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ก็จะหน้าตาของประเทศ และเป็นการพัฒนาเชิงสถาบันที่น่าชื่นชม และประชาสัมพันธ์ปากต่อปาก

ข้อห่วงใยที่สาม สถานการณ์ของเงินคลังและการกู้ยืม สถานการณ์คลังในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2552 นี้ พบว่า เงินคงคลังประมาณ 5 หมื่นล้านในขณะนี้ ลดลงจากสถานการณ์ตามปกติ (1-2 แสนล้าน)

และข่าวในสื่อมวลชนระบุว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังได้ออกไปเจรจากับต่างประเทศ (เช่น ญี่ปุ่น) เพื่อขอกู้ยืมเงินมาเสริมสภาพคล่อง พร้อมกับเชิญชวนให้นักลงทุนต่างประเทศ "เชื่อมั่นประเทศไทย"... ส่งอีกสัญญาณหนึ่งที่น่าเป็นห่วง

ถ้าหากสถานการณ์การคลังไม่มีปัญหารุนแรง คงไม่มีความจำเป็นต้องเร่หาแหล่งเงินกู้ และน่าจะตรวจสอบกับอดีต (เงินกู้มิยาซาวาที่ดำเนินการโดยรัฐบาลขณะนั้น ได้ผลเพียงใด?) และอาจจะเกิดการทำงานแบบขัดแย้งกัน กล่าวคือ ในทางหนึ่งรัฐบาลบอกให้จ่ายเงินออกไป

แต่งานการคลังในภาคปฏิบัติอาจจะทำตรงกันข้าม คือ "ดึง" ให้เงินอยู่ในคงคลัง ไม่ให้น้อยกว่าระดับที่เชื่อมั่น

สรุปว่าเรื่องนี้ต้องดูละเอียด เพราะปากพูดอย่างการกระทำอีกอย่างหนึ่ง การส่งสัญญาณที่ไม่สมจริงหรือฟังดูขัดแย้งกันก็อาจจะไม่ได้ผลหรือว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์

ในทรรศนะของผู้เขียน ถ้าหากว่ารัฐบาลไทยมีความจำเป็นต้องกู้ยืมมาเสริมเงินคงคลัง การออกพันธบัตรภายในประเทศน่าจะเป็นหนทางเลือกที่ดีกว่า เพราะว่าไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่องในสถาบันการเงินของไทย และคนที่มีกำลังซื้อพันธบัตรก็มีอยู่จำนวนมาก

ดอกเบี้ยที่รัฐบาลจ่ายสำหรับผู้ถือพันธบัตรคนไทยก็ยังเป็นรายได้ของคนไทยและหมุนเวียนในประเทศ (ต่างกับการกู้ยืมจากต่างประเทศ ดอกเบี้ยจะกลายเป็นเงินโอนออกนอกประเทศ)

ยกเว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องเพิ่มสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งจากข่าวคราวและข้อมูลก็ไม่น่าจะใช่อย่างนั้น

งบประมาณกลางปี 2552 ผ่านการตัดสินใจของฝ่ายการเมืองไปแล้วก็จริงอยู่ แต่ว่าเรื่องราวยังไม่จบสิ้น ความจริงยังเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น ในไม่ช้าก็จะถึงเวลาของภาคปฏิบัติ

กล่าวคือเงินผ่านมือกรมบัญชีกลางลงไปยังส่วนราชการและส่งต่อไปยังประชาชน

เรื่องนี้ต้องย้ำว่าการกำกับและติดตามให้รายจ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพและสมประสงค์ตามเป้าหมายนั้น อาจจะสำคัญยิ่งไปกว่าขั้นตอนอนุมัติวงเงิน

งบประมาณกลางปี 2552 เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่ง

เดิมพันครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก

ในฐานะนักเรียนเศรษฐศาสตร์ก็อดวิเคราะห์และแสดงความห่วงใยไม่ได้ พร้อมกับลุ้นให้สภานิติบัญญัติ/สถาบันวิชาการต่างๆและภาคประชาชนร่วมกันประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของการใช้จ่ายเงินของส่วนราชการอย่างเอาจริงเอาจัง...

ขอเพียงให้เป็นหน่วยงานกลางและไม่สังกัดราชการทำหน้าที่ประเมิน หลายหน่วยงานทำการประเมินก็ได้ ยิ่งดี

ที่มาของบทความ : nidambe11.net

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทำไมราคาทองคำจึงผันผวน

ทำไมราคาทองคำจึงผันผวน!!
สวัสดีครับ ช่วงนี้ในด้านการลงทุนแล้วคงไม่มีตลาดใดร้อนแรงเกินไปกว่าการลงทุนในตลาดทองคำอย่างแน่นอน เห็นได้จากการเปิดตัวของตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้า ราคาทองคำที่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ทุกวันจนยากแก่การคาดเดาของใครหลายๆคน(รวมทั้งผมด้วยครับ) การย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนจากตลาดหุ้นมาเป็นตลาดทองคำ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่า และปลอดภัยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในภาวะการณ์แบบนี้




แต่็ก็ใช่ว่าการลงทุนในตลาดทองคำจะสามารถทำได้ง่ายๆ และก็ใช่ว่าจะยากจนเกินไป หากเราทำการศึกษาอย่างลึกซึ้งและเข้าใจในธรรมชาติของทองคำและการซื้อขายทองคำล่วงหน้าแล้วล่ะก็ ผมเชื่อว่าการลงทุนในตลาดทองคำจะเป็นอะไรที่ไม่ยากอย่างที่ใครๆคิด และทำให้เราสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานความรู้ และจังหวะเวลาที่ถูกต้องอย่างแน่นอนครับ
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราลองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของราคาทองคำกันดีกว่า ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เป็นตัวกำหนด และทำไมราคาทองคำมันจึงผันผวนเหลือเกินในช่วงนี้

ราคาทองคำกำหนดอย่างไร

Future world by TFEX : เกศรา มัญชุศรี กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทองคำเป็นสินทรัพย์และหลักทรัพย์ชนิดเดียวที่ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในภาวการณ์ปัจจุบัน นับจากปี 2000 ราคาทองคำทะยานสูงขึ้นโดยตลอดจากระดับ 280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปแตะระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มมีการหยุดพักบางช่วงเวลา ราคามีความสั่นไหวขึ้น

และลงมากกว่าปีอื่นๆ ที่ผ่านมา และในรอบสองเดือนแรกของปี 2009 นี้ ราคาทองคำกลับพุ่งสูงขึ้นไปแตะระดับสูงสุดอีกครั้ง เมื่อคำนวณอัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของทองคำในช่วงแปดปีที่ผ่านมา พบว่าบวกทุกปีและสูงถึงปีละ 8.7% จึงเป็นที่ประจักษ์ว่าในช่วงเวลานี้ทองคำเป็นพระเอกตัวจริง ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศหันมาสนใจและลงทุนในทองคำ รวมถึงสินค้าที่อ้างอิงกับทองคำ จนทำให้การซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นทำลายสถิติเดิมทุกวัน กระแสตื่นทองนี้ปรากฏทั่วโลกและในประเทศไทย

ประเภทการลงทุนหลักๆ ได้แก่ การซื้อขายทองคำจริง ในรูปของทองคำรูปพรรณและทองคำแท่ง โดยซื้อขายได้จากร้านค้าทองคำทั้งในและต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยที่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับในเรื่องการนำเงินออกไปต่างประเทศ ก็อาจมีข้อจำกัดในการซื้อทองจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี สำหรับการลงทุนประเภทที่เป็นวิธีการสมัยใหม่ เช่น ETF (Exchange-traded Fund) หรือ ETC (Exchange-Traded Commodity) ซึ่งลงทุนในทองคำ หรือที่เรียกกันว่า กองทุนทองคำ เป็นการลงทุนที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน ทั้งในเรื่องการถือครองสิทธิในทองคำ โดยมีทองคำจริงเก็บไว้ที่ผู้รับฝากทรัพย์สิน และการซื้อขายที่เป็นลักษณะออนไลน์ รวมทั้งมีการกำกับดูแลจากภาครัฐ จึงเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นในต่างประเทศ ในขณะที่ผู้ลงทุนไทยอาจไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากเรามีที่เก็บทรัพย์สินที่ปลอดภัยในราคาถูก และยังชอบที่จะได้สัมผัสและชื่นชมความงามของทองคำที่เราเป็นเจ้าของ ทำให้รูปแบบการลงทุนประเภทนี้ยังไม่แพร่หลาย

ในขณะที่ อีกรูปแบบหนึ่งของการลงทุนในทองคำ คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ Gold Futures ที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ที่มีอยู่เกือบทั่วโลก สำหรับตลาดอนุพันธ์ในประเทศไทยนั้น TFEX เพิ่งเปิดตัว Gold Futures ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สอดรับกับกระแสโลก

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงในตลาดต่างๆ ทั่วโลก ราคาที่ปรากฏในจอข้อมูลต่างๆ เช่น reuters, bloomberg และสำนักข่าวอื่นๆ มาจากข้อมูลราคาในตลาด Spot และตลาดอนุพันธ์ของตลาดต่างประเทศที่เปิดทำการ ณ ขณะนั้นๆ ราคาทองคำขึ้นอยู่กับความต้องการและปริมาณการซื้อขายของโลก ตลาดที่สำคัญคือ ตลาดนิวยอร์ก ลอนดอน ฮ่องกง โตเกียว ซึ่งสามารถซื้อขายข้ามตลาดระหว่างกันได้ จึงยากที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมีอิทธิพลต่อราคาของทองคำ

ราคาทองคำในตลาดข้างต้นเป็นราคาดอลลาร์ต่อหนึ่งหน่วยทรอยออนซ์ ซึ่งเท่ากับทองคำแท่งซึ่งมีน้ำหนัก 31.1035 กรัม ความบริสุทธิ์ที่ระดับ 99.99% หรือ 99.5% แต่เมื่อไปปรากฏในประเทศอื่นๆ จะมีการปรับเป็นเงินสกุลท้องถิ่น และอาจปรับตามหน่วยมาตรฐานน้ำหนักและความบริสุทธิ์ตามความนิยมของแต่ละประเทศ สำหรับไทยใช้มาตรฐานทองคำ 96.5% หน่วยน้ำหนักเป็นบาททองคำ หรือ 15.244 กรัม โดยในตลาด Spot ของไทยนั้น สมาคมค้าทองคำเป็นผู้กำหนดราคาทองคำแท่งและรูปพรรณในทุกๆ เช้า เพื่อให้ร้านค้าทองคำทั่วประเทศใช้ในการซื้อขาย ซึ่งสมาคมฯ อาจปรับเปลี่ยนราคาระหว่างวันได้ หากราคาทองคำในตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลง

ราคา Gold Futures ในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) นั้น จะไม่มีการกำหนดราคาดังเช่นในตลาด Spot เนื่องจากผู้ซื้อผู้ขาย จะเป็นผู้กำหนดราคาที่ต้องการเอง และส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ระบบการซื้อขายที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ในลักษณะเดียวกับการซื้อขายหุ้นที่ผู้ซื้อผู้ขายเป็นผู้สั่งซื้อสั่งขายหุ้นในราคาและจำนวนที่ต้องการเอง ซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญยิ่งระหว่างตลาด Spot และตลาดอนุพันธ์ เพราะการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์เป็นการตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่พอใจซื้อหรือขาย Gold Futures ในราคาและจำนวนสัญญาที่ต้องการ ตลาดอนุพันธ์และสำนักหักบัญชีเป็นตัวกลางในเรื่องระบบงาน ระบบการจัดการ และกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ความมั่นใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องว่าการซื้อขายเป็นไปด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ รวมทั้งเป็นธุรกิจภายใต้การกำกับของ สำนักงาน ก.ล.ต.

สำหรับผู้ลงทุนอาจสงสัยว่าจะใช้ข้อมูลใดมาช่วยในการตัดสินใจเรื่องราคา Gold Futures ซึ่งเป็นจำนวนเงินบาทต่อหน่วยน้ำหนักทองคำ 1 บาท ที่ความบริสุทธิ์ 96.5% ตามมาตรฐานไทย โดยราคาที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ควรเป็นไปตามความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก การแปลงค่าราคาทองคำให้เป็นเงินบาทนั้น TFEX ใช้สูตรการคำนวณราคาซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ใช้ในต่างประเทศ

London Gold A.M. Fixing x (15.244/31.1035) ? (0.965/0.995) x (THB/USD)

ซึ่งประกอบด้วย ราคาทองคำต่างประเทศจาก London Gold Fixing และแปลงน้ำหนักจากทรอยออนซ์ (31.1035 กรัม) เป็นทองคำน้ำหนัก 1 บาท (15.244 กรัม) ต่อมาแปลงค่าความบริสุทธิ์ของทองคำจาก 99.5% เป็น 96.5% และสุดท้ายเป็นการแปลงค่าเงิน โดยสรุปแล้วมีเพียงสองตัวแปร คือ ราคาทองคำและค่าเงินบาทในวันนั้น

ซึ่งตลาดอนุพันธ์ได้รับความร่วมมือจาก reuters และธนาคารพาณิชย์ในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อการนี้ ส่วนในเรื่องของน้ำหนักและความบริสุทธิ์เป็นสูตรแน่นอนที่มีค่ากำกับอยู่แล้ว ตลาดอนุพันธ์ใช้สูตรข้างต้นในการกำหนดราคาเพื่อใช้ชำระราคาในวันสุดท้ายของการซื้อขาย (Final Settlement Price) โดย London Gold Fixing เป็นศูนย์กลางกำหนดราคาทองคำเพื่อใช้ในการอ้างอิงมาตั้งแต่ปี 1919 (www.goldfixing.com) ซึ่งจะประกาศราคาทองคำที่ความบริสุทธิ์ 99.5% ทุกวันทำการ วันละ 2 เวลา คือ 10:30 น. และ 16:30 น. (เวลาที่ลอนดอน)

สำหรับการคำนวณราคาโดยทั่วไป สามารถใช้ราคาทองคำต่างประเทศในลักษณะ real time จาก reuters, bloomberg, สำนักข่าวอื่น ๆ หรือจากเว็บไซต์ www.kitco.com , www.goldprice.com เป็นต้น มาคำนวณตามสูตรข้างต้น โดยอาจต้องปรับค่าความบริสุทธิ์ให้เป็น 99.5% หากว่าราคาทองคำนั้นเป็นราคาที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% เช่น หากทองคำราคา 915 ดอลลาร์ อัตราแลกเปลี่ยน 36.50 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ เมื่อคำนวณตามสูตรข้างต้นจะได้ราคาทอง (Spot Price) เท่ากับ 915 x (15.244/31.1035) ? (0.965/0.995) x 36.50 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 15,874.79 บาทต่อทองคำน้ำหนัก 1 บาท ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถใช้สูตรข้างต้นเพื่อคำนวณราคาทองคำ Spot ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดราคา Gold Futures ได้

เป็นไงกันบ้างครับ รู้อย่างนี้แล้วก็ช่วยให้เรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของราคาทองคำกันมากขึ้น และหายสงสัยกันแล้วว่าทำไมราคาทองคำจึงผันผวน อย่าลืมนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

การตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต

การตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต
สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
ไม่ได้มาเขียนบล็ิอกตั้งนานแล้วนะครับ ช่วงนี้พอมีเวลาเลยแวะมาเขียนเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของคณะเราซะหน่อย
เชื่อว่าหลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ ว่าเราจะมีการจัดงานสานสัมพันธ์ระหว่างสาขาภายในคณะ วิทยาการจัดการของเราขึ้นมา ในวันที่ 14 มี.ค. 52 ที่จะถึงนี้




ทำไมงานนี้จึงสำคัญ?
มีใครบอกผมได้บ้างครับว่างานนี้มั้นสำคัญยังไง? ทำไมเราต้องมาเสียเวลาจัดงานที่ส่วนใหญ่เด็กๆเค้าจะร่วมงานกัน? บางคนอาจคิดว่า ก็แค่งานสานสัมพันธ์ธรรมดาๆ เช้าแข่งกีฬา ร้อนก็ร้อน เย็นก็ร่วมงานเลี้ยง กินข้าว ร้องเพลง กลับบ้าน จบ จะว่าไปมันก็จริงนะครับ แต่มันใช่ทั้งหมดรึเปล่าครับ ผมเคยอ่านหนังสือเล่มนึงคิดว่าพี่น้องหลายท่านคงเคยอ่านเช่นกัน ด้านหน้าปกเค้าเขียนว่า "คนรวยมองหาวิธีในการสร้างเครือข่าย ในขณะที่คนจนมองหางานทำ" ใช่แล้วครับ เป็นหนังสือชื่อดัง ของคุณ "โรเบิร์ต ที คิโยซากิ" นั่นเองครับ ซึ่งเขียนเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย และพลังของเครือข่าย แต่สิ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเราและงานในครั้งนี้คือ การที่เราร่วมกันสร้างเครือข่ายโดยการทำความรู้จักกันไว้ในวันนี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจได้ร่วมงานกัน เป็นหุ้นส่วนกัน ช่วยเหลือกันในเรื่องต่างๆอีกมากมายก็เป็นได้ กิจกรรมที่เราร่วมกันจัด ร่วมกันทำขึ้นมา จริงอยู่มันอาจจะดูเล็กน้อย แต่มันจะสำคัญเท่าความสัมพันธ์ที่ดีของพวกเราทุกสาขาได้ไง จริงมั้ยครับ ยิ่งถ้าเราสามารถสร้างเครือข่ายที่ใหญ่ได้(การตลาด การโรงแรม และเศรษฐศาสตร์) จนเป็นธรรมเนียมให้รุ่นน้องๆของพวกเรา มันก็จะยิ่งดูมีพลังมากขึ้น เครือข่ายก็ใหญ่ขึ้น ในขณะที่ถ้าเราเรียน ๆ ๆและเรียน ไม่สนใจใคร เรียนไปเรื่อยๆ จบปุ๊ป ทำงานๆๆ ลองนึกภาพดูครับว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกับการมาเรียนครั้งนี้ ถ้าอนาคตเป็นอย่างที่ว่านะ เป็นผมผมก็ไม่มาเรียนหรอกครับ จริงมั้ย ? ทีนี้มองเห็นโอกาสของอนาคตในการสร้างเครือข่ายรึยังครับ?? เรียกว่าลงทุนโคตรน้อย แต่ได้กำไรโคตรมากเลย ไม่มาร่วมได้ไง จริงป้ะ

ไม่มาได้มั้ย??
คำตอบคือ ไม่ได้เฟ่ย !! งานนี้ใครไม่มาผมถือว่าไม่แน่จริง และเป็นนักลงทุนไม่ได้แน่นอน โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ (ยกเว้นคนที่ติดงานด่วววนนน สุดๆ แบบกำลังจะคลอด ประมาณนั้นนะครับ) เพราะอย่างที่บอกมันสำคัญมาก งานนี้เราจัดกันเอง 3 สาขา ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ ไม่ได้ป็นทางการจ๋า การจะจัดงานเล็กๆให้ได้ผลสำเร็จใหญ่นั้นมันท้าท้ายความสามารถและความร่วมมือของพวกเรา ผมเชื่อว่ารุ่นพี่พวกเราที่รู้ก็ต้องกำลังมองดูอยู่ว่ามันจะรอดกันมั้ยวะ? ขนาดรุ่นพี่ยังจัดไม่ได้เลย แล้วรุ่นน้องมันจะจัดได้เหรอ? เพราะฉะนั้น ถ้าจัดงานนี้ไม่สำเร็จผมว่าอายรุ่นพี่ กับรุ่นน้องที่กำลังจะเข้ามาเร็วๆนี้ ว่ะ!!

ที่ผมเขียนมาทั้งหมดอาจฟังดูเวอร์นะครับ แต่พี่น้องเราคนนึงเพิ่งได้อ่านบทความวันนี้เองครับ บอกว่า เด็กจุฬา ครองตำแหน่งผู้บริหารในองค์กรมากสุด เพียงเพราะว่าเขาจะดันเฉพาะเด็กจุฬาด้วยกัน!! (ถามจริงเหอะ จะยอมเค้าเหรอครับ?)

เอาล่ะครับ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่การตัดสินใจของพี่น้องทุกท่านแล้วล่ะครับ ว่าจะลงทุนกับโอกาสที่เห็นผลตอบแทนชัดเจนในครั้งนี้ หรือว่าจะปล่อยให้มันผ่านเลยไป ??
Lee jun boy

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พลาดโอกาสลงเรียน Eng จนได้

สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน
เป็นไงกันบ้างครับกับการสอบ Final ครั้งนี้ คิดว่าหลายคนคงทำข้อสอบกันได้อย่างถ้วนหน้านะครับ (หรือว่าได้ทำเหมือนผม ฮะๆ)หลังจากปิดเทอมใหญ่(บางคนหัวใจว้าวุ่น)แล้วใครมีโปรแกรมไปเที่ยวพักร้อนที่ไหนก็อย่าลืมโทรชวนผมด้วยนะครับ อิอิ (ไปด้วววย)เอาล่ะครับมาเข้าเรื่องดีกว่า




สำหรับพี่น้องคนใดที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เนื่องจากตอนแรกเราวางแผนกันไว้ว่าหลังจากที่พวกเราสอบ Final กันเสร็จแล้ว ก็จะไปลงทะเบียนเรียน Eng.แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมกับพี่ริวได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ของคณะมนุษย์ฯที่เค้ารับสมัคร ปรากฏว่าปิดรับสมัครไปแล้ว เนื่องจากอาจารย์ที่สอนมีไม่เพียงพอต่อจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน ทั้งหหมด 179 คน แบ่งเป็น 7 กลุ่ม ถ้าจำไม่ผิดนะครับ และจะเปิดให้ลงทะเบียนเรียนอีกครั้ง คือประมาณช่วงเดือนตุลาคมครับ เพราะฉะนั้นแปลว่าเราพลาดจากกิงไม้ที่สูงที่สุดแล้ว
แต่ยังมีกิ่งไม้ที่ 2 กิ่งรองรับเราอยู่ครับ เนื่องจากว่า เค้าจะมีการจะมีการสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษในวันที่ 7 มี.ค. 52 นี้
ถ้าใครสนใจก็สามารถสมัครได้ถึงวันจันทร์นี้เท่านั้นนะครับ
ลองวัดดวง+ความรู้เราดูก็ได้ครับ เผื่อว่าพี่น้องท่านใดสอบผ่านจะได้ไม่ต้องมานั่งลงทะเบียนเรียน Eng ในช่วงเดือนตุลาคมดังกล่าวครับ โอเคนะครับ ขอให้ทุกท่านโชค A ครับ

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

รวมไฟล์ที่ใช้เรียนวิชา Macroeconomics

รวมไฟล์ที่ใช้เรียนวิชา Macroeconomics

สวัสดีครับพี่น้องชาว MBE#8ทุกท่าน
คราวนี้ผมรวบรวมเอาไฟล์ที่เราใช้เรียนกันในวิชา Macroeconomics ถึงปัจจุบัน มารวมไว้ที่นี่ เพื่อความสะดวกในการนำไปใช้สำหรับพี่น้องทุกท่านนะครับ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ักับทุกคนนะครับ แต่ยังไงก็อย่าลืมเข้าไปในระบบ E-Learning ของมหา'ลัย ด้วยนะครับ เพราะไฟล์อื่นๆที่เกี่ยวข้องผมไม่ได้นำมารวมไว้ในที่นี้ เนื่องจากพวกเราไม่ได้ใช้เรียน แต่ผมคิดว่ามันก็สำคัญไม่แพ้กันเลยคับ




ไฟล์ที่ใช้เรียนวิชา Macroeconomics ถึงปัจจุบัน
0. Course Syllabus
1. Introduction
1.1 Ch 1: The Science of Macroeconomics

2. Ch 2: The Data of Macroeconomics

3. Ch 3: National Income

4. Ch 4: Money and Inflation
PPT พรีเซนเตชั่น

5. Ch 5: The Open Economy
PPT พรีเซนเตชั่น

6. Ch 6: Unemployment

7. Ch 7: Economic Growth I

8. Ch 8: Economic Growth II

9. Ch 9: Introduction to Economic Fluctuations

10. Ch 10: Aggregate Demand I: AD-AS Model

11. Ch 11: Aggregate Demand II: IS-LM Model

12. Ch 12: Aggregate Demand in the Open Economy

13. Ch 13: Aggregate Supply

14. Ch 14: Stabilization Policy

15. Ch 15: Government Debt
ที่มา : ระบบ E-Learning ดร.สุรชัย จันทร์จรัส

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

รับสมัครด่วนนนน!! นักกายภาพบำบัด

รับสมัครด่วนนนน!! นักกายภาพบำบัด

ด่วนนนนที่สุด!! โรงพยาบาลสมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์
ต้องการรับสมัครด่วน ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนักกายภาพบำบัด




อัตราเงินเดือน 10,030 บาท

เงินค่าวิชาชีพ 1,000 ต่อเดือน มีสวัสดิการให้

เบอร์ติดต่อ 043-861-140 ต่อ 312 ต่อแผนก กายภาพบำบัด

ด่วนนนน!!!! ที่สุดคร้าาาาบบบ

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

สิบอันดับเวปไซต์ยอดนิยมของไทย

สิบอันดับเวปไซต์ยอดนิยมของไทย




เชื่อว่าในยุคนี้แทบไม่้มีใครไม่รู้จักอินเตอร์เน็ต เนื่องจากว่า เป็นแหลางความรู้ ความบันเทิง และการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ทั่วทุกมุมโลกได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แทบจะเรียกได้ว่าอะไรที่เราไม่รู้ พอเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตมีครบหมด รู้ทันที งั้นคราวนี้เรามาดูกันนะครับว่า ผลการจัดอันดับสิบอันดับเวปไซต์ยอดนิยมของไทยโดยThailand Web Statistic ที่มีผู้นิยมเข้าไปชมมากที่สุด มีเวปไหนกันบ้าง


TOP 10 WEBSITES


Website IP/day
1. www.sanook.com 548,692
2. www.kapook.com 366,178
3. www.mthai.com 279,389
4. www.dek-d.com 235,907
5. www.exteen.com 212,779
6. www.manager.co.th 194,137
7. www.bloggang.com 189,410
8. teenee.com 186,460
9. www.gg.in.th 135,870
10. www.playpark.com 133,998

ที่มา : truehits.net

ทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล"โอบามาร์ค"กันหน่อย

ทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล"โอบามาร์ค"กันหน่อย
ช่วงนี้หลายท่านคงจะติดตามข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศราฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มี "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวที่กำลังเป็นที่วิจารย์กันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกันตน และข้าราชการที่มีรายได้ประจำต่ำกว่า 14,999 บาทต่อเดือน ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 2,000 บาทครั้งเดียว ว่าจะสามารถช่่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าเป็นไปตามสมการในทางเศรษฐศาสตร์แล้วที่บอกว่า GDPหรือY = C+I+G (สมมุติว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบปิดเพราะว่าเราจะดูผลระยะสั้นจากมาตรการดังกล่าว)ก็ต้องบอกว่าน่าจะช่วยได้เนื่องจากเป็นการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ(ตัว G) เพื่อหวังผลต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายของภาคประชาชน(ตัว C) และเมื่อมีการใช้จ่ายของประชาชนมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ก็ย่อมต้องเป็นการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP/Y)ได้ เนื่องจากซึ่งเป็นไปตามกฎของ "Golden Rule" แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากต้องดูความสามารถในกาใช้จ่ายทั้งของรับาลเองและของประชาชนด้วย

จากแผนบริหารราชการแผ่นดินระยะเวลา 3 ปี (ปี"52-"54) ที่ครม.เห็นชอบแล้ว ประมาณความต้องการใช้เงินตามนโยบายของรัฐบาลรวม 3 ปี มีวงเงินทั้งสิ้น 7.44 ล้านล้านบาท แต่มีรายได้รัฐบาล 3 ปีเพียง 5.24 ล้านล้านบาท

ทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณรวม 3 ปีเป็นเงิน 2.2 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ทีนี้เราลองมาทบทวนโครงการต่างๆของรัฐบาลกันอีกครั้งนะครับว่ามีอะไรบ้าง




มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ สำหรับงบประมาณกลางปี 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งจะนำเข้ารัฐสภาวันที่ 28 ม.ค. มีดังนี้

1.โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยจัดสรรเงินให้ผู้ประกันตน และข้าราชการที่มีรายได้ประจำต่ำกว่า 14,999 บาทต่อเดือน ได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 2,000 บาทครั้งเดียว โอนเงินเข้าบัญชีให้ประมาณเดือนเม.ย.

2.โครงการช่วยเหลือคนตกงาน จัดอบรมผู้ว่างงานเพื่อเพิ่มศักยภาพ 6 เดือน ขณะอบรมได้เงินช่วยเหลือยังชีพเดือนละ 5,000 บาท วงเงิน 6,900 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ว่างงาน 240,000 คน ก่อนขยายเพิ่มในงบประมาณปี"53 ให้ครบ 500,000 คน

3.โครงการเรียนฟรีจริง 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลถึงม.6 ฟรีค่าเทอม เสื้อผ้า ตำราเรียน และอุปกรณ์การศึกษา งบประมาณ 19,000 ล้านบาท

4.โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน สานต่อกองทุนเอสเอ็มแอล เพื่อสร้างงานและวางรากฐานในชนบท

5.โครงการต่ออายุ 5 มาตรการ 6 เดือน ทั้งน้ำ-ไฟ-รถเมล์-รถไฟ อีก 6 เดือน แต่ปรับลดการใช้นำประปาฟรี เหลือเดือนละ 30 ลบ.ม. และใช้ไฟฟ้าฟรีไม่เกินเดือนละ 90 หน่วย งบประมาณ 11,409.2 ล้านบาท

6.โครงการช่วยเหลือเงินยังชีพคนชรา อายุเกิน 60 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบสวัสดิการ คนละ 500 บาทต่อเดือน จำนวน 3 ล้านคน รวมเป็นทั้งระบบช่วยเหลือ 5 ล้านคน งบประมาณ 9,000 ล้านบาท

7.โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพอาสาสมัคร สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน คนละ 600 บาทต่อเดือน ครอบคลุม 834,075 คน งบประมาณ 3,000 ล้านบาท

8.โครงการจัดทำและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกร สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 2,000 ล้านบาท

9.โครงการถนนปลอดฝุ่น ลาดยางทางในชนบท ระยะทาง 490 กิโลเมตร 1,500 ล้านบาท

10.โครงการจำหน่ายสินค้าราคาถูกให้กับประชาชนรายได้น้อย งบประมาณ 1,000 ล้านบาท

11.โครงการปรับปรุงสถานีอนามัยในชนบท งบประมาณ 1,095.8 ล้านบาท

12.โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน 532 แห่ง แห่งละ 3.4 ล้านบาท วงเงิน 1,808.8 ล้านบาท

13.โครงการลดผลกระทบธุรกิจท่องเที่ยว โดยจัดกิจกรรมท่องเที่ยวในประเทศ สนับสนุนส่งเสริมให้ส่วนราชการจัดสัมมนาต่างจังหวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท

14.โครงการสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร และธุรกิจขนาดกลางและขยาดย่อม (เอสเอ็มอี) 500 ล้านบาท

15.โครงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ เพื่อให้ความมั่นใจกับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 325 ล้านบาท

16.โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ขุดลอกคูคลอง 760 ล้านบาท

17.เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 2,391.3 ล้านบาท

18.รายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลัง 19,139.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ที่เมื่อจ่ายเงินคงคลังไปก่อนจะต้องตั้งงบชดเชยคืน

ข้อมูลบางส่วนโดย หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์

สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2551/2008

สายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2551/2008




มาแล้วคร้าาบ!!! กับผลการจัดอันดับสายการบินที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และสายการบินที่ดีที่สุดแยกตามภูมิภาคต่างๆของโลก ในปี พ.ศ.2551(Best Regional Airline for 2008) จากผลสำรวจผู้โดยสารทั่วโลกโดยสกายแทร็คส์ มาดูกันนะครับว่าแต่ละประเภทมีสายการบินใดผลการดำเนินงานดีที่สุดในโลก และแต่ละภูมิภาคของโลก สายการบินใดเจ๋งที่สุด

BEST AIRLINE 2008 WINNER
Best Airline : Asia : Singapore Airlines
Best Airline : Australasia : Qantas
Best Airline : Africa : South African Airways
Best Airline : Europe : Lufthansa
Best Airline : Middle East : Qatar Airways
Best Airline : North America : Continental Airlines
Best Airline : South America : LAN
Best Airline : Central America : Copa Airlines
Best Airline : Pacific region : Air Tahiti Nui
Best Airline : China : Hainan Airlines
Best Airline : Central Europe : CSA Czech Airlines
Best Airline : South East Asia : Singapore Airlines
Best Airline : Northern Asia : Asiana Airlines
Best Airline : India/Cent Asia: Kingfisher Airlines
Best Airline : Transatlantic : British Airways
Best Airline : Transpacific : Air New Zealand

Result publication is allowed with prior consent of Skytrax

BEST BY CABIN TYPE 2008 WINNER
Best First Class : Cathay Pacific
Best Business Class : Singapore Airlines
Best Premium Economy Class : EVA Air
Best Economy Class : Asiana Airlines

Result publication is allowed with prior consent of Skytrax

LOW-COST AIRLINES 2008 WINNER

Best low-cost airline : Worldwide : easyJet
Best low-cost airline : Asia : Jetstar Asia
Best low-cost airline : Africa : Mango
Best low-cost airline : Australia / Pacific : Virgin Blue
Best low-cost airline : Europe : easyJet
Best low-cost airline : Middle East : Air Arabia
Best low-cost airline : North America : Southwest Airlines
Best low-cost airline : Central America : Volaris
Best low-cost airline : South America : Gol
Best low-cost airline : India / Central Asia : Spicejet
Best low-cost airline : S E Asia : Jetstar Asia
Best low-cost airline : N Asia : Skynet Asia Airways
Best low-cost airline : China : Spring Airlines

Result publication is allowed with prior consent of Skytrax

REGIONAL AWARDS 2008 WINNER

Refers to domestic / international flights within the specific regions
Best Regional airline : Africa South : African Airways
Best Regional airline : Asia : Bangkok Airways
Best Regional airline : Australasia : Qantas
Best Regional airline : Europe : VLM
Best Regional airline : Middle East : Emirates
Best Regional airline : North America : Alaska Airlines
Best Regional airline : South America : LAN
Best Regional airline : Central America : TACA
Best Regional airline : Northern Asia : Asiana Airlines
Best Regional airline : India/C Asia : Jet Airways
Best Regional Airline : S E Asia : Dragonair

Result publication is allowed with prior consent of Skytrax

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

มองเศรษฐกิจปี 52 จากสายตาธุรกิจไทย

มองเศรษฐกิจปี 52 จากสายตาธุรกิจไทย

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้เกิดภาวะถดถอยอย่างหนัก สาเหตุหลักเนื่องมาจากวิกฤติทางการเงินของกลุ่มประเทศยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ที่ผ่านมามีผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ นักวิชาการ รวมถึงบริษัทวิจัยชื่อดัง จากหลายค่ายทั่วโลก ได้ทำการสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะวิกฤติของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งสำรวจความคิดเห็นจากธุรกิจของแต่ละประเทศทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย เรามาลองดูกันนะครับว่า ธุรกิจต่างๆในประเทศไทยเค้ามองภาวะเศรษฐกิจโลกกันอย่างไร และคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปี 52 นี้ อย่างไรกันบ้างครับ ?




แกรนท์ ธอร์นตัน อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลกจากสหรัฐ ได้เผยแพร่ผลการสำรวจทัศนคติเชิงบวกของบริษัทธุรกิจทั่วโลก 7,000 แห่ง จาก 36 ประเทศทั่วโลก และเป็นดัชนีชี้วัดทัศนคติที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งเชิงบวกและลบ ปรากฏว่านักธุรกิจทั่วโลกมีทัศนคติเชิงลบในต้นปี 2552 เฉลี่ยติดลบ 16% เทียบกับบวก 40% จากการสำรวจจนถึงต้นปี 2551

ทั้งนี้ดัชนีชี้วัดของแกรนท์ ธอร์นตันซึ่งให้ผลเฉลี่ยลบ 16% ถือเป็นผลครั้งแรกที่พบว่าทัศนคติเชิงลบของธุรกิจต่างๆ มีน้ำหนักมากกว่าทัศนคติเชิงบวกที่ธุรกิจมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามรายงานผลสำรวจความเห็นของบริษัทธุรกิจทั่วโลก ส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกันว่าอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ลดลง เป็นอุปสรรคสำคัญสุดในการทำธุรกิจ

ในรายละเอียดของผลสำรวจ บ่งชี้ว่าบริษัทธุรกิจในสหรัฐและจีน ซึ่งมีจีดีพีรวมกันกว่า 32% ของจีดีพีโลก ให้ทัศนคติเชิงบวกลดลงเป็นติดลบ 34% และเป็นบวก 30% ตามลำดับ ส่วนญี่ปุ่นกับอินเดียที่มีจีดีพีรวมกันกว่า 11% ของจีดีพีโลก ให้ทัศนคติแตกต่างกันมาก คือติดลบ 85% และบวก 83% ตามลำดับ

ทั้งนี้นายปีเตอร์ วอล์คเกอร์ กรรมการอาวุโสของแกรนท์ ธอร์นตันในไทย กล่าวว่าผลสำรวจทัศนคติที่แตกต่างกันแบบสุดขั้วข้างต้น บ่งชี้ตลาดโลกยังมีความหวัง หมายความว่าขณะที่ธุรกิจทั้งหมดอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อม สำหรับภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานาน บริษัทธุรกิจในประเทศเศรษฐกิจยังคงเติบโตดีนั้นมีทัศนคติเชิงบวก และมองช่วงเวลานี้ยังเป็นโอกาส

สำหรับประเทศไทยนั้น ในรายงานของแกรนท์ ธอร์นตันระบุว่าผู้ประกอบการยังมีทัศนคติเชิงบวกลดลง จากระดับบวก 30% เมื่อต้นปี 2550 ลดเหลือติดลบ 30% ในต้นปี 2551 และติดลบมากขึ้น 63% ในต้นปี 2552 มีเพียงญี่ปุ่นกับสเปน เป็นสองทัศนคติเชิงบวกลดลงมากกว่าหรืออยู่ระดับต่ำกว่าไทย คือติดลบ 65% และ 85% ตามลำดับ

"ระดับทัศนคติเชิงบวกที่ลดลงอย่างมากนั้นไม่น่าแปลกใจ เมื่อมีทั้งปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกที่หนักขึ้นเป็นสองเท่า อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ และการสำรวจนี้จัดทำขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ปิดล้อมสนามบิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วทั้งประเทศอยู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์" นายวอล์คเกอร์อธิบาย

รายงานระบุด้วยว่า แม้ธุรกิจในหลายประเทศเป็นกลุ่มตัวอย่างจะแสดงทัศนคติเชิงลบ แต่ยังมีบริษัทธุรกิจอีกหลายประเทศให้ทัศนคติเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เช่น อินเดียให้ทัศนคติบวก 83% บอตสวานาบวก 81% ฟิลิปปินส์บวก 65% และบราซิลบวก 50%

ในทางตรงข้ามประเทศที่มีธุรกิจให้ทัศนคติเชิงลบมากสุดคือ ญี่ปุ่นติดลบ 85% และสเปนติดลบ 65% ส่วนประเทศที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันมากที่สุดได้แก่ ธุรกิจในฮ่องกงที่เปลี่ยนแปลงจากบวก 81% เมื่อต้นปี 2551 มาเป็นลบ 49% ในต้นปี 2552 เพราะเป็นศูนย์กลางการเงินที่ประสบวิกฤตมากที่สุดแห่งหนึ่ง และค้าขายกับชาติตะวันตกมากด้วย

การสำรวจยังสอบถามผู้ประกอบธุรกิจถึงปัจจัยที่ก่อความกังวลใจให้มากที่สุด พบว่าธุรกิจใน 33 ประเทศรวมทั้งไทย มองว่าอุปสงค์ผู้บริโภคที่ลดลงน่ากังวลใจมากที่สุด ตามด้วยปัญหาเครดิตการทำธุรกิจ

ความเห็นข้างต้นทำให้นายวอล์คเกอร์ชี้ว่า ผลสำรวจที่ได้จากความเห็นของผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ ควรช่วยให้ผู้นำทางการเมืองไทยและชาติอื่นๆ ตัดสินใจได้ หลังจากไม่แน่ใจเรื่องความจำเป็นต้องกระตุ้นผู้บริโภคใช้จ่าย หรือหันมาเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจเศรษฐกิจโดยลงทุนในสาธารณูปโภค

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ2

บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ2




สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
หลังจากคราวที่แล้วที่ผมวางแผนไปเที่ยวปีใหม่ที่บ้านเพื่อน(ไอ้เอก)ที่อำเภอวังน้ำเขียว แต่สุดท้ายก็ยังไปไม่ถึงซักทีเนื่องจากแวะ Count dawn ที่งานคาวบอย บริเวณเขาแคน ปากช่องก่อน 1 คืน พอรุ่งเช้าพี่ชายเพื่อมาชวนไปใส่บาตรอาหารแห้ง ผมจึงมีโอกาสได้ไปทำบุญอีกครั้งหลังจากทำบาปมาทั้งคืน 55+ บริเวณที่เราไปใส่บาตรนั้น เป็นบริเวณพื้นที่ของไนท์บาร์ซ่าปากช่องครับ ก็ไม่ไกลจากบ้านมันเช่นกัน เค้าปิดถนนบริเวณนั้นแล้วให้คนรอใส่บาตรแบ่งออกเป็นสองแถว พระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาตรก็จะเดินไปแล้ววนกลับเป็นรูปตัว U ทำให้วันนี้ผมรู้สึกว่าเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ของผมที่ดีมากๆ อิ่มบุญแต่เช้าเลยเรา พอกลับมาบ้านเอาอีกแล้วครับ ตั้งวงกันอีกแล้วกินเหล้าเช้าก่อนเลยครับ (ไรวะเนี่ย เพิ่งทำบุญมาแท้ๆ)จากเหล้าเช้า ต่อด้วยข้าวเช้า ตามด้วยเหล้าเที่ยง.. บ่าย ได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสองคน คือพี่หลอด(ออฟเดอะรั่ว คือเมาแล้วรั่วมากๆ)กับ เชน อื้ออึง(มือกีตาร์แห่งบันไดม้า)แต่ไม่มีเพลงใดที่เชนเล่นจบ ทุกเพลงมันร้องแต่ อื้ออึง อื้ออึง (อะไรของมันวะเนี๊ยๆ)
ประมาณซักบ่ายสองผมกับเพื่อนจึงได้ฤกษ์เดินทางไปบ้านไอ้เอกที่วังน้ำเขียวซักกะที 55+ โดยเราเอารถยนต์เพื่อนไป ระหว่างทางเบลอมากๆครับ รถวิ่งผ่านแปลงเกษตรปลอดสารพิษไปไกลแค่ไหนไม่รู้เรื่องเลย ผ่านสวนกล้วยไม้ตอนไหนก็ยังไม่รู้เรื่องอีก แต่รู้สองอย่างว่า หนึ่งนับรถโดยสารที่วิ่งมาตั้งแต่เราออกเดินทางได้3คันซึ่งถ้าเรานั่งรถโดยสารไปคงยังไม่ถึงไหนเป็นแน่แท้ อย่างที่สองคือตูหลงทางแล้ววววเฟ่ยยย คราวซวยมาเยือนอีกรอบครับพี่น้อง คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี ส่วนมือถือเพื่อนคลื่นเต็มแต่ดันโทรออกไม่ได้ ไรของมันวะเนี๊ยยยจะถึงมั้ยวะไอ้วังน้ำเขียวเนี่ย 55+ ขับตรงไปเรื่อยๆดันเจอทางแยก เอาล่ะสิครับ จะเลี้ยวหรือจะตรงไปดี เอาวะเป็นไงเป็นกันทางข้างหน้าเราไม่คุ้นเพราะมันลาดยาง งั้นเลี้ยวซ้ายไปเลยเพื่อน อ่าวเฮ้ย!คลองส่งน้ำมาไงวะเนี่ย งงเต็ก!?? แต่โชคชะตามักเข้าข้างคนหน้าตาดี (อิอิ)สายตาอันแหลมคมของผมดันมองไปเห็นผู้ชายคนนึงกำลังเดินออกจากบ้านพอดี ในมือถือพี่แกขวดเบียร์ซะแน่นเลยสงสัยกำลังจะไปรับประทานเบียร์กับเพื่อนแน่ๆ ตกใจอีกครั้งไม่อยากเชื่อครับพี่น้อง อ้าวเฮ้ยนี่มัน ไอ้โอนี่หว่า(เพื่อนรุ่นพี่ที่เกษตรสีคิ้ว) แล้วนั่นใครวะพ่อมันแน่เลยท่าทางหนวดเยอะๆเข้าไปทักทายมันพร้อมยกมือสวัสดีพ่อมัน แต่พอพ่อมันเดินมาใกล้ๆ อ่าวไอ้นี่มันไอ้สิทธิ์นี่หว่า(เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เกษตรสีคิ้ว)ถึงว่าหน้าตาคุ้นๆ ไอ้เราก็นึกว่าพ่อเพื่อน แม่งเป็นเพื่อนตูซะงั้น ที่สำคัญเพิ่งรู้ว่ามันสองคนเป็นพี่น้องกัน แถมไอ้สิทธิ์มันเป็นหนึ่งในคนขับรถประจำทางที่ผมนับได้นั่นเอง มันบอกว่าบ้านมันวิ่งรถ อีกอย่างที่เพิ่งรู้คือ นี่ตูมีเพื่อนเยอะขนาดนี้เลยเหรอฟ่ะ 55+(คนของสังคมจริงๆ)ที่จริงแถวนี้ผมเคยมาแต่ลืมไปจากสมองซะสนิทเลยครับถ้าไม่เจอมันสองคน ก็คงจำไม่ได้แน่ๆ มาตอกย้ำคนมีเพื่อนเยอะกันอีกครั้งเนื่องจากบ้านที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านไอ้โอและไอ้สิทธิ์นั่นก็คือบ้านไอ้ออย ซึ่งมันก็คือเพื่อนเราอีกเช่นกัน เออเอากับมันสิ สรุปในที่สุดก็ได้รู้ว่าถ้าเราตัดสินใจขับรถตรงไปไม่เลี้ยวซ้ายซะตั้งแต่แรกก็ถึงบ้านเพื่อน(ไอ้เอก)ตั้งนานแล้วครับพี่น้อง งมเข็มซะจนเจอเลย 55+
ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงบ้านไอ้เอกซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของผม ดีใจมาก ดีใจสุดๆ เจอหน้ามันเหมือนไม่ได้เจอกันมาเป็นเป็นปีๆ ฮะๆ แวะทักทายพี่สาวมัน เนื่องจากพ่อแม่มันไม่อยู่จึงได้แค่ฝากของฝากไว้เท่านั้น
หลังจากพูคุยทักทายกันได้ไม่นาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ถูกต้องนะคร้าาบ! วงเหล้านั่นเอง 55 หลังจากตั้งวงได้ไม่นานเนื่องจากใกล้จะค่ำแล้ว ผมและเพื่อนจึงจัดเตรียมที่นอนซึ่งคืนนี้เราจะกางเตนท์นอนกันท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น และแสงดาว ฮ่าๆๆ อะไรจะโรแมนติกขนาดนี้ฟ่ะ แต่ผมไม่ได้พูดเกินความเป็นจริงเลย ที่นั่นอากาศเย็นมากๆ ลมแรง ท้องฟ้าโปร่ง มองเห็นดาวได้ชัดเจนดีจริงๆ ระหว่างนั่งรับประทานเหล้ากับเพื่อนๆ พวกเราเอาเครื่องเสียงมาเปิด ถึงแม้จะเสียงดังมากแต่ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาด่า เพราะว่าบริเวณบ้านไอ้เอกมันเป็นพื้นที่กว้างติดภูเขา เปิดดังแค่ไหนเสียงก็กระจายออก ไม่เดือดร้อนชาวบ้านครับพี่น้อง ที่สำคัญไอ้เอกมันบอกว่า เต็มที่เลยเพื่อน ดีมั้ยล่ะครับเพื่อนผม พอตกดึกเราก็เข้านอนเก็บแรงไว้ กะว่าจะไปเที่ยวตามแผนที่เพื่อนผมมันวางไว้โดยมีตัวเลือกดังนี้ อุทยานแห่งชาติป่าเขาภูหลวง งานดอกเบญจมาศบาน หรือไม่ก็น้ำตกสะพานหิน
พอตื่นเช้าขึ้นมาสูดอากาศเต็มที่ครับ บรรยากาศบ้านมันสุดยอดเลย ถึงแม้บ้านเพื่อนผมจะเป็นกระท่อม แต่มันก็ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ได้สวยดีของมัน หน้าบ้านมันมองไปข้างหน้ามีภูเขาชื่อว่า "เขาโซ่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขาใหญ่ แล้วมีถนนลาดยางตัดผ่านตามคำโม้ของมันก่อนที่ผมจะไปจริงๆ แต่อากาศในตอนเช้าเย็นมากๆ ลมพัดตลอดเวลา ผมตัดสินใจไปอาบน้ำก่อนไปกินข้าว(หลังจากไม่ได้อาบมาตลอดสองวันเต็มๆอิอิ)ต้องขอบคุณพี่แตและน้องนุช(พี่สาวไอ้เอกและแฟนไอ้ต้น)ที่คอยทำกับข้าว+กับแกล้มให้ตลอดเวลา ซึ่งอร่อยมากกกกจริงๆสำรับไข่เจียวและผัดกระเพาถึงแม้นำมันจะเยิ้มไปนิด(สงสัยเพราะราคาน้ำมันลงมั้ง)เครื่องเสียงทำงานอีกครั้งหลังได้เวลาเข้างานของกลุ่มศิลปินจากค่ายต่างๆที่มาตั้งวงกันอีกครั้ง ทำไปทำส ถานที่ท่องเที่ยวที่วางไว้เลยไม่ได้ไปมันเลยซักที่ 55+ หลังจากที่พวกเราเบื่อฟังเครื่องเสียงกันแล้วเนื่องจากคิดว่าร้องเองน่าจะเพราะกว่า อิอิ เลยตัดสินใจเอากีตาร์โปร่งไฟฟ้า(ของผมเองคร้าบ)มาเสียบสายแจ๊คเข้ากับเครื่องเสียงเล่นมันบนเขาซะเลย นั่งเล่นกีตาร์ท่ามกลางบรรยากาศบนเขาเหมือนเล่นคอนเสิร์ตยังไงยังงั้นครับ แต่คนฟังกับคนร้องนี่สิ...คิดเอาเอง 55+
ตอนแรกว่าจะกลับ4โมงเย็นของวันที่ 2 ม.ค.52 นี้แต่ทำไปทำมาเป็น 4 โมงเช้าของวันที่ 3 ม.ค.52 ซะงั้น หลังจากบอกลาไอ้เอกและพี่สาวมัน ผม ไอ้ต้น น้องนุช ก็ขับรถลงมาจากวัง(น้ำเขียว)เพื่อกลับบ้านซึ่งพอถึงบ้านไอ้ต้น น้องหนุ่ม(น้องชายไอ้ต้น)ก็ขับรถมอ'ไซด์พ่วงซึ่งไม่มีเบาะสำหรับคนนั่งพ่วงมีแต่โครงเหล็กล้วนๆครับพี่น้อง พอไปส่งผมที่ท่ารถปากช่องเสร็จ(ไม่ใช่บขส.ปากช่องนะครับ)ในใจอยากบอกมันว่าขอบใจมากน้องแต่ตูเจ็บตูดจิ๊บเป๋ง แฟนไอ้หนุ่มมันขายข้าวแกงที่ท่ารถพอดีไปถึงไอ้หนุ่มมันไม่พูดพล่ามทำเพลง ตักข้าวใส่จานราดแกงพร้อมส่งให้ผมเฉยเลย งงครับพี่น้อง สงสัยมันนึกว่าเราหิวจัดมั้ง แต่เออกินก็กินขอบใจมากๆ ของฟรีนี่หว่า 55+ แฟนไอ้หนุ่มนิสัยดีมากแถมซี้กับพี่คนขายตั๋วอีกช่วยส่งสัญญาณบอกว่ารถคันไหนควรขึ้นคันไหนไม่ควรขึ้น ซึ่งผมก็ได้นั่งรถคันที่คนว่าง เบาะนั่งนุ่มสบายอย่างที่ต้องการ(ต่างจากตอนมาราวฟ้ากับเหว) ต้องขอบคุณน้องหนุ่มและน้องนุชผู้น่ารักมากๆๆนะครับ สรุปงบประมาณที่ใช้ในการเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ของผมกันหน่อยดีมั้ยครับ ก่อนไปผมกดเงินไป 1,000 บาทครับ ขากลับมา เหลือเงินอยู่ 10 บาทพอดิบพอดี 55+ เป็นไงครับ เงินพันนึงทุกท่านคิดว่าคุ้มค่ามั้ยครับกับการเดินทางครั้งนี้ของผม ส่วนผมบอกได้เลยว่าคุ้มเกินคุ้มครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขสดชื่นตลอดไป ขอให้ สุขขี สุขขัง สุขคารัง สุขคารู เทิ้ด...สาธุ 555 แล้วเจอกันครับ

บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ

บอกเล่าเก้าสิบสถานที่ท่องเที่ยวปีใหม่กันหน่อยคร้าบ




สวัสดีครับพี่น้องชาวMBE#8ทุกท่าน
สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะครับ ไม่ทราบว่าปีใหม่ที่ผ่านมาพี่น้องท่านใดไปเที่ยว หรือไป Count dawn ที่ไหนกันมาบ้างครับ ยังไงก็อย่าลืมแวะเข้ามาเล่าเรื่องราวสนุกๆของแต่ละคนกันที่นี่ด้วยนะครับ
ส่วนผมแน่นอนครับ ไปเที่ยวตามโปรแกรมทีวางไว้เลยครับ วังน้ำเขียว ครับท่าน หลังจากเลื่อนกำหนดวันเวลาเดินทางจากเดิมที่กะจะไปวันที่ 1 เปลี่ยนเป็นวันที่ 31 ธันวาคม สิ้นปีพอดี เนื่องจากสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ 55 พอแพ็คกระเป๋าเสร็จก็รีบออกเดินทางทันที ประมาณ 09:00น. Go strage on เป้าหมายคือบ้านเพื่อนที่วังน้ำเขียว ในใจคิดว่าคนที่เดินทางส่วนใหญ่น่าจะเป็นขาลงที่เข้าสู่ต่างจังหวัดไปทางภาคอีสานมากกว่า จริงอย่างที่คิดครับคนเต็ม บขส.ครับพี่น้อง แต่เราไม่กลัวอยู่แล้วครับ ก็เราจะไปทางกรุงเทพฯนี่หว่า รถมันต้องว่างอยู่แล้ว จริงมั้ย 55 ที่ไหนได้ครับพี่น้องตลอดสองชั่วโมงเต็มที่เดินทางยืนตลอดเบียดกันสุดๆครับ เพราะว่าคนที่จะเดินทางไปทางกทม.มีน้อยทางบริษัทขนส่งจึงจัดให้เราขึ้นรถคันเดียวกันเลย จากที่ว่าน้อยๆ มันก็กลายเป็นแน่นเต็มคันรถ เอากะมันสิ แต่ไม่เป็นไรครับแค่สองชั่วโมง เล็กน้อย ๆ ในที่สุดเวลาประมาณ 11:20 น.ก็ถึง 7'11ที่ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง กะว่าจะต่อรถไปวังน้ำเขียวเลย ดันนึกถึงเพื่อนอีกคนขึ้นมาได้ จะไปคนเดียวก็กลัวไม่มัน เดี๋ยววงเหล้าคนจะน้อย อิอิ โทรชวนมันซะหน่อยดีกว่า ยังไงก็เผื่อจะได้มีเพื่อนคุยระหว่างเดินทางด้วย
พอเพื่อนมารับมันดันชวนไปกินเหล้าบ้านมันก่อนซะงั้นไอ้เราก็จะบ่นเพื่อนก็เกรงใจ (คนดีของสังคมอยู่แล้ว อิอิ)เลยเออออไปกับมันซะงั้น เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า จากสาย กลายเป็นบ่าย จากบ่ายกลายเป็นเย็น จากเย็นกลายเป็นค่ำ สรุปพอค่ำมันชวนไปเที่ยวในไร่มันต่อ (เฮอะๆ ตูจะไปวังน้ำเขียวๆๆ)เสร็จมันจนได้ แต่ไม่ว่ากันอยู่แล้วไปไหนไปกันครับพี่น้อง เข้าไร่มันดีมากๆๆไหว้พ่อแม่ญาติพี่น้องมันเสร็จ แม่มันทำขนมจีนน้ำยาเลี้ยง อร่อยมากๆๆๆ (วังน้ำเขียวหายไปจากสมองทันทีครับพี่น้อง)นั่งในไร่มันไม่นานนักก็พากันบอกลาพ่อแม่พี่น้องเพื่อนออกจากไรเดินทางเข้าเมืองอีกครั้ง (เมืองปากช่องนะ อิอิ)
เนื่องจากวันนี้เพื่อนมันบอกว่า ที่บริเวณเขาแคน จะมี"งานคาวบอยปากช่อง" ซึ่งเค้าจะมีการ Count dawn ที่นี่ด้วย อารมณ์อยากไปกระโดดมาอีกแล้วครับ มันถามว่าจะไปมั้ยวะ? ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยครับ ไปอยู่แล้ว เขาแคนที่ว่าก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านมันเท่าไหร่นัก ใครที่ผ่านไปทางกรุงเทพฯคงสังเกตเห็นได้ไม่ยากเย็นนัก บรรยากาศภายในงานเป็นการปิดถนน มีลานเบียร์ยาวมากๆข้างหน้ามีเวทีสำหรับการแสดงคอนเสิร์ต ด้านหลังของงานบริเวณทางเข้าจะมีการออกบูตเปิดร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับคาวบอย มีเกมยิงธนูให้ทดลองยิงเป้าจริงๆ ผมไปยืนดูสาวๆยิงธนูมา น่ารักมากๆเลย อิอิ แล้วยังมีการแสดงโชว์ขี่ม้าให้ผู้ที่สนใจได้ดูอีกด้วย
ผมและเพื่อนแล้วก็พี่น้องมันไปด้วยกันประมาณ 6 คน หาที่นั่งแทบไม่มี คนเยอะมากๆ หันซ้ายแลขวาไปเจอรูปปั้นช้างพอที่จะมีที่นั่งอยู่บ้าง เอาวะนั่งมันตรงนี้แหละ ข้างๆเป็นร้านขายอาหารปิ้งย่างเดินไปซื้อมาเป็นกลับแกล้มซะหน่อย พอมองหน้าแม่ค้า อ้าวเฮ้ย! เพื่อนเรานี่หว่า มาได้ไงวะเนี่ย? สาวราชภัฏ น่ารักมากๆแต่งตัวเป็นคาวเกิร์ล มาขายลูกชิ้นปิ้งในงานคาวบอยปากช่อง น่ารักมากมาย ชอบๆๆ
พอใกล้เวลาเที่ยงคืนพิธีกรบนเวทีก็บอกให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคนเตรียมตัว Count dawn พร้อมกัน ผมสังเกตได้ว่าบรรยากาศที่คึกคักภายในงานที่ตอนแรกคึกคักเสียงดังมากๆกลับเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด 10.9.8.7.6.5.4.3.2..1 เฮ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงดังมากๆ พลุไฟถูกจุดบนเขาแคน เราอยู่ข้างล่าง มองไปข้างบนสวยมากจริงๆ ไม่ได้เวอร์นะครับ ใครมีประสบการณ์แบบนี้คงรู้ดีว่ามันน่าประทับใจแค่ไหน นั่งดื่มเบียร์สดๆกับเพื่อนๆ บรรยากาศยังกะงานบอลโลกนัดชิง มีพลุไฟจุดตอนเฉลิมฉลอง ใครจะไม่มีความสุขบ้างครับจริงมั้ย?
พองานเลิกเราทั้งหมดก็กลับบ้านไปกินต่อกัน แน่นอนครับเกือบสว่างครับพี่น้อง 55+ ปีเก่าผ่านไปปีใหม่ผ่านมา สุขหรรษาเฮฮาตลอดคืน จริงๆ
สรุปแล้ววันที่ 31 ธ.ค.51 ผมก็ยังไปไม่ถึงวังน้ำเขียวจนได้ 55+ ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวคราวหน้าเราค่อยมาต่อกัน กิจกรรมที่ผมไปเที่ยวที่วังน้ำเขียวเลยจะมีอะไรบ้าง จะเหมือนกับที่ผมคิดไว้ก่อนเดินทางรึเปล่า หรือว่าตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกันแน่ 55+