วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความจริงบางส่วนเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงบางค่ายในไทย

ขายตรงฝุ่นตลบล่อใจ!แจกเบนซ์

จะเรียกว่า...ธุรกิจขายตรงด้านมืดก็คงไม่แปลก สถานการณ์ ล่าช่วงเศรษฐกิจประเทศกำลังอยู่ในสภาวะซบเซาเหงาหงอยโงหัวไม่ขึ้น ธุรกิจขายตรงพันทางก็เหมือนมีน้ำเชื้อชั้นดี พุ่งเป้าไล่ล่าสมาชิก ให้มาระดมเงินระดมทุน เหยื่อชั้นดี คือผู้ที่มีความโลภ ไม่อยากเหนื่อย แต่อยากได้เงินมากๆในช่วงสั้นๆ

ข้อมูล สถานการณ์ตลาดขายตรงในเมืองไทย พบว่า ธุรกิจขายตรงหรือ ธุรกิจเครือข่ายวันนี้ มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง...หลายบริษัทจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับ เพิ่มยอดจำหน่าย โดยอาศัยช่องทางธุรกิจขายตรงเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ใช้แผนการตลาดแบบจ่ายผลตอบแทน กระตุ้นให้ประชาชนที่สนใจในธุรกิจ เกิดความรู้สึกตื่นเต้นกับรายได้ที่มากมายเกินจริง คำชักชวนที่มีในแผนการตลาด อาทิ ท่านสามารถมีรายได้เดือนละ 980,000 บาท...ในเดือนแรกที่เข้ามาทำ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจะมีรายได้ถึงเดือนละ 180,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ...แถมยังได้ขับเบนซ์อีกด้วย

บริษัทที่ใช้แผนการตลาดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าใช้อย่างปกปิด บอกต่อกันแบบปากต่อปาก...แต่หลายบริษัทโฆษณาผ่านสื่ออย่างเปิดเผย อย่าให้ต้องฟันธงไปว่าสื่ออะไร? นิตยสาร...หนังสือพิมพ์ รายเดือนหรือรายปักษ์ ผู้มีประสบการณ์ด้านการตลาดธุรกิจขายตรงประสบการณ์กว่า 20 ปี ยกตัวอย่าง ธุรกิจขายตรงพันทางแห่งหนึ่ง มีแผนธุรกิจ 3 รูปแบบ
แบบแรก...เริ่มธุรกิจแบบเร่งด่วน จ่ายเงิน 5,000 บาท รับสินค้า 2 กล่อง
แบบที่สอง...เริ่มธุรกิจแบบส่วนตัว จ่ายเงิน 10,000 บาท รับสินค้า 4 กล่อง
แบบที่สาม...เริ่มธุรกิจแบบผู้บริหาร นักธุรกิจ จ่ายเงิน 40,000 บาท รับสินค้า 16 กล่อง

"ใคร จะเริ่มธุรกิจแบบไหน ไม่มีใครบังคับใคร แต่บริษัทจะมีจุดโน้มน้าวให้เพื่อนสมาชิกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายเลือกแผน ธุรกิจแบบที่สาม ด้วยเหตุผลสำคัญที่คนฟังต้องใจเต้น" "คุณจะมีรายได้อย่างรวดเร็ว..." "คุณจะมีรายได้...มหาศาล ไร้ขีดจำกัด" สมาชิก ท่านใดที่ใส่ใจ ชักความรู้สึกกลับมาได้สักนิดอาจคิดได้ว่า...จะมีรายได้ขนาดนั้น สินค้าที่จะเอาไปขาย ทำธุรกิจให้งอกงามได้นั้นมีอะไรบ้าง เป็นสินค้าที่ทำตลาดง่าย มีผู้คนซื้อใช้ได้สักกี่มากน้อย นั่นหมาย ถึงว่า การทำธุรกิจกับบริษัทจะเติบโตไปได้นั้นก็ต้องมีรายได้มาจากการขายสินค้า ไม่ใช่ว่าพุ่งเป้าแต่หาสมาชิกมาต่อขา ระดมทุน ขนเงินเข้าบริษัทอย่างเดียว

ข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้า ถึงจะมีคนตั้งคำถาม แต่ก็มักจะถูกนักพูดของบริษัทชักจูงให้ไขว้เขว... เริ่มต้นด้วยการโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถสร้างเซลล์ใหม่ให้อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง ตับ ไต...พร้อมทั้งยังดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วภายใน 3-20 นาที ประเด็นโฆษณาเกินจริงสำหรับธุรกิจขายตรงนั้นมีมานานมากแล้ว ตั้งแต่ตำนานเตียงแม่เหล็กรักษาสารพัดโรคร้าย อาหารเสริมรักษามะเร็ง... เอดส์ สารพัดวิธีที่จะนำมาใช้ในการชักจูงให้ผู้บริโภคหลงตกเป็นเหยื่อ ไม่น้อย...เหยื่อที่ว่านี้ก็คือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคร้าย สูญทั้งเงิน...เสียทั้งชีวิต โดยที่ยังมีความหวังจากสรรพคุณสารพัดอาหารเสริม จากนักขายไร้จรรยาบรรณ... สารพัดบริษัท

กรณีโฆษณาเกินจริง หากจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แบบคาดคั้นกันจนถึงกระดูก รับรองว่าไม่มีใครยอมรับ ที่ต้องจับตาคือ แผนการระดมทุน โดยเฉพาะการมอบรายได้ลักษณะกองทุนรถยนต์ มอบกันแบบผ่อนดาวน์ บริษัท จะเป็นผู้ดาวน์รถยนต์ให้พร้อมกับผ่อนชำระให้เดือนละ 15,000 บาท แต่ทั้งนี้ผู้ครอบครองจำเป็นต้องอยู่ในเงื่อนไข มียอดสะสมคะแนนอยู่ที่ 14,000 คะแนนต่อเดือน...ยอดในทีมประมาณ 50,000 บาท บางบริษัท มีลีลาระดมทุนหลบเลี่ยงมากกว่า แถมมีการโหมประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อในแง่ของการสร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงของบริษัทให้ดูดีสุดๆ

บริษัทหนึ่ง...แถลงว่าปี 2551 มียอดขาย 398 ล้านบาท...ปี 2552 คาดว่าจะมียอดขาย 2,000 ล้านบาท และในปี 2553 ตั้งเป้าแบบสะท้านวงการธุรกิจขายตรงเมืองไทย เอาไว้สูงถึง 15,000 ล้านบาท ผู้มีประสบการณ์ด้านการตลาดธุรกิจขายตรง ตั้งข้อสังเกตว่า...ถ้าทำได้จริงก็ถือเป็นแง่ดีที่ธุรกิจขายตรงใหญ่ยักษ์ขนาดนี้จะมากระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทย แต่ปัญหามีว่า...หากสืบค้นข้อมูลจากกรมสรรพากร จะพบข้อมูลที่สวนทางกันจนน่าตกใจ บริษัทเหล่านี้แจ้งบัญชีขาดทุน...เพื่อหลบเลี่ยงภาษี "น่าเสียใจกับ...บรรดาสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ที่หลงคารมเป็นเหยื่อบริษัทขายตรงพันทางแบบนี้"

หาก ยังจำกันได้ แชร์ข้าวสาร...อีซี่ก็ยืนยันขันแข็งว่าเป็นธุรกิจขายตรง แต่ก็ไม่ได้ขายสินค้ากันจริงๆ ตั้งแผนการตลาดแค่หวังระดมเงิน ระดมทุน...เอากำไรแบบสั้นๆเท่านั้น ย้อนไปก่อนหน้านี้ก็มีตำนานอภิมหาแชร์รถยนต์ ที่บริษัทชื่อดังเป็นเจ้าของ มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมายืนแจกรถยนต์ให้กับสมาชิกผู้ทรงเกียรติ...แล้วเป็นยังไง ผลสุดท้าย...แชร์รถยนต์ก็ล้มไม่เป็นท่า ถึงวันนี้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาไปมากน้อยแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ บริษัทขายตรงแจกรถยนต์ ใช้แผนการตลาด...ออโตรัน ลงทุน 1 ขา...18,000 บาท นับจากวันสมัคร...รอไม่เกิน 1 ปี หากหาสายงานได้ครบตามแผน จะได้ รับรถยนต์เป็นวงเงิน 1,100,000 บาท

เป็นแผนการตลาดที่เรียกลูกค้าบ่าไหลเป็นเหยื่อ ว่ากันว่าไม่ต่ำกว่า วันละนับสิบล้านรหัส แผนออโตรัน...เป็นอย่างไร มีรูปร่างหน้าตา มีโครงข่ายโยงใยเป็นแชร์ ลูกโซ่หรือไม่ ก่อนอื่น...ให้นึกถึงภาพพีระมิด ยอดแหลม...ฐานใหญ่ ดูกันต่อไป...เครือข่ายพีระมิดวงนี้จะสร้างสมาชิกให้เป็นเครือข่ายร่วมด้วยช่วยกันรวย หรือร่วมด้วยช่วยกันซวย?

เริ่ม สมาชิกคนแรก...ขาแรก อยู่ยอดบนสุดพีระมิด ลงทุน 18,000 บาท...จะหาหรือรอให้มีสมาชิกเข้ามารองฐานครบตามแผนออโตรันก็ได้ จนครบ 3 ชั้น...ชั้นแรก...ชั้นรองจากยอดพีระมิด ตามแผนการตลาดออโตรันต้องต่อสมาชิกให้ครบ 6 คน หรือ 6 ขา...ค่าสมัครขาละ 18,000 บาท เป็นเงิน 108,000 บาท ชั้นที่ 2...สมาชิกชั้นแรกแต่ละขา ต้องแยกย้ายไปหาสมาชิกให้ได้ขาละ 6 ขา หรือถ้าไม่หา ระบบออโตรันก็ยังเอื้ออำนวยโอกาสความร่ำรวย ด้วยการจัดยัดสมาชิกที่สมัครเข้ามาที่หลัง ต่อเข้าฐานพีระมิดแบบอัตโนมัติ จนครบจำนวนขา

นี่ คือข้อที่เชื่อว่าดี...ของแผนออโตรัน...สมาชิกขาต้นๆ ชั้นแรกๆ แทบไม่ต้องทำอะไร...นอนเฉยๆ ก็มั่นใจว่า บริษัทก็ต้องแจกรถยนต์เอาเงิน 1.1 ล้านบาท ใส่พานให้อยู่ดี ยอดสมาชิกเต็มชั้นที่ 2...จากชั้นแรก 6 ขา ขาละ 6 คน ทั้งหมด 36 คน รวมเป็นเงิน 648,000 บาท ผ่านมาถึงพีระมิดชั้น 2 ได้แล้ว สมาชิกขาแรกบนสุดยอดพีระมิดใกล้จะได้รถยนต์เต็มแก่...แต่ต้องรอให้พีระมิด ชั้น 3 ยอดเต็มเสียก่อน สมาชิกชั้น 3 จะเต็มก็ต่อเมื่อสมาชิกชั้น 2 ทั้ง 36 ขา ไปหาสมาชิกหรือรอให้ระบบออโตรันจัดสรรสมาชิกจนครบอีกขาละ 6 คน...กว่าฐานพีระมิดชั้น 3 จะครบ...บริษัทจะมีสมาชิกเพิ่มอีก 216 คน ได้เงินเพิ่มอีก 3,888,000 บาท ถึงขั้นนี้แล้ว สมาชิกขาบนยอดพีระมิดจะได้รับรถยนต์ 1.1 ล้านบาท... บริษัทเพิ่งมีรายจ่าย ถ้าถามถึงรายรับ...บริษัทมีสมาชิก 259 ขา มีรายรับ 4,662,000 บาท บริษัทจ่ายไป 1.1 ล้าน ยังเหลือกำไรเข้ากระเป๋าอีก 3.56 ล้านบาท แผนการตลาดแบบออโตรัน...ไม่ธรรมดาจริงๆ

บริษัท ระดมเงิน จ่ายแจกรถยนต์ให้สมาชิกชั้น 1 ชั้น 2 ไม่มีปัญหา แต่พอมาถึงสมาชิกชั้นถัดไปที่มีมากขึ้น จะมีวิธีบริหารเงินอย่างไร นอกเสียจากหมุนเงิน...จนหมุนไม่ได้ เมื่อหมุนไม่ได้ เงินไม่มีก็ไม่จ่าย บริษัทก็ต้องปิด...เจ้าของบริษัทตัวจริงก็หอบเงินหนี สุดท้ายผู้ที่หลงเอาเงินไปต่อหางแถว ต้องถูกลอยแพไปตามๆกัน.

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ.2553

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เศรษฐกิจกระแสใหม่

เศรษฐกิจกระแสใหม่

สวัสดีครับนักธุรกิจทุกท่าน วันนี้ผมมีบทความดีๆ เกี่ยวกับกระแสเศรษฐกิจยุคใหม่ที่จะก้าวเข้ามา และมีบทบาทสำคัญกับโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งต้องขอบคุณที่มาของบทความที่เราจะกล่าวถึงนี้ จากเว็ป สมาร์ททูริชทีม มา ณ ที่นี้ด้วยครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ!!

ข้อจริงที่น่าตื่นเต้นของ 3 กระแสเศรษฐกิจ กับแนวโน้มธุรกิจในอนาคตที่เริ่มต้นแล้วในปัจจุบัน

ปัญหาชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่

< รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย เป็นหนี้เป็นสิน
< ไม่มีเงินเก็บออม ไม่มีทรัพย์สิน
< ไม่ชอบงานที่ทำ เบื่องาน
< รู้สึกไม่มั่นคง ขาดหลักประกันชีวิต
< ไม่มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัว
< ไม่มั่นใจในอนาคตของตนเอง
< ยังไม่รู้สึกถึงความสำเร็จในชีวิตอย่างที่เคยฝัน

J. Paul Getty กล่าวไว้ในหนังสือ “How To Get Rich” ว่า
“กฎข้อแรกของความสำเร็จคือ คุณต้องทำธุรกิจเพื่อตัวเอง เพราะคุณไม่มีทางร่ำรวยได้ จากการทำงานให้คนอื่น”

ผลวิจัยพบว่า “96 % ของคนทำงานรุ่นใหม่มีความใฝ่ฝันอยากทำธุรกิจของตนเอง” แต่จริงๆ แล้วมีคนเพียงไม่ถึง 5 % เท่านั้นที่มีธุรกิจของตนเอง เพราะคิดว่าไม่มี “โอกาส” หรือรู้สึกว่ามีอุปสรรคมากมาย เช่น

< ไม่มีเวลา
< ไมมีเงินทุน
< ไม่มีพื้นฐานความรู้ทางธุรกิจ
< กลัวการเปลี่ยนแปลงชีวิต
< กลัวล้มเหลว
< ครอบครัวไม่สนับสนุน

พอล เซน พิลเซอร์ (Paul Zane Pilzer) นักเศรษฐศาสตร์เลื่องชื่อชาวอเมริกัน ที่ปรึกษาอดีตประธานาธิบดีอเมริกันถึง 2 สมัย และเป็นผู้ที่ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าอย่างถูกต้องมาแล้วถึงปรากฎการณ์อันน่าระทึกใจของระบบอินเตอร์เน็ตที่เข้ามามีบทบาทอย่างมหาศาลในชีวิตประจำวันในทศวรรษที่ผ่านมา ได้กล่าวทำนายล่วงหน้าอีกครั้งหนึ่งถึง กระแสทางเศรษฐกิจ 3 กระแส แนวโน้มทางธุรกิจที่กำลังเริ่มต้นขึ้นในทศวรรษนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน คือ

1. กระแสธุรกิจทำงานที่บ้าน (Home-based Business)
2. กระแสธุรกิจผ่านสื่อสารเทคโนโลยี/อินเตอร์เน็ต (E-commerce)
3. กระแสธุรกิจด้านความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness Industry)


พอล เซน พิลเซอร์ (Paul Zane Pilzer)
ได้ทำนายไว้ว่า กระแสทางเศรษฐกิจทั้ง 3 กระแสนี้จะรวมเป็นหนึ่งเดียว และเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งของนักประกอบการรุ่นใหม่ ที่รู้จักมองหาโอกาสทำธุรกิจมากกว่ายึดติดการทำงานตามสายวิชาชีพที่ร่ำเรียนมา จะเริ่มก้าวสู่ธุรกิจขนาดเล็กของตนเองตามกระแสเศรษฐกิจทั้ง 3 กระแสนี้

เป็นยังไงบ้างครับ หวังว่าทุกท่านคงพอมองเห็นอะไรบ้างนะครับ สำหรับโอกาสแห่งอนาคตที่กำลังจะมาถึงนี้ ดังคำกล่าวที่ว่า "ผู้ที่ประสบความสำเร็จ คือผู้ที่มองเห็นโอกาสแล้วยื่นมือคว้าไว้"